+ ตอบกลับกระทู้
สรุปผลการค้นหา 1 ถึง 2 จากทั้งหมด 2
  1. #1
    Administrators รูปส่วนตัว Duckload.us
    สมัครเมื่อ
    Dec 2010
    โพสต์
    150,506
    Thanks
    7
    Thanked 157,708 Times in 68,844 Posts

    Lightbulb ตำนานเทพอินเดีย (6 ตอน)-[DVD] [Master]-[พากย์ไทย]



    ตำนานเทพอินเดีย 6 ตอน
    1. กำเนิดพระพิฆเนศ
    2. พรศักดิ์สิทธิ์พระกฤษณะ
    3. กำเนิดพระขันธกุมาร
    4. พระนารายณ์ 10 ปาง
    5. กฤษณะมหาเทพ
    6. เจ้าแม่มหาลักษมี

    กำเนิดพระพิฆเนศ
    พระพิฆเนศ เป็นมหาเทพผู้ทรงภูมิปัญญายิ่งใหญ่ ผู้ขจัดอุปสรรคและอำนวยความสำเร็จในทุกสิ่ง พระองค์ทรงเป็นเทพเจ้าแห่งสากล (Universal God) ที่มีผู้เคารพนับถือมากที่สุดองค์หนึ่งในทั่วโลก
    ไม่ว่าใน อินเดีย เนปาล ภูฏาน ทิเบต มองโกล จีน ญี่ปุ่น เกาหลี พม่า ไทย เขมร อินโดนีเซีย ฯลฯ พระพิฆเนศ คือเทพเจ้าที่มีปรีชาญาณเฉลียวฉลาด มีฤทธานุภาพมาก และทรงคุณธรรม คอยปราบภัยพาลและอภิบาลคนดี อีกทั้งยังเป็นเทพผู้กตัญญูถึงพร้อมด้วยความดีงาม สมควรแก่การสักการบูชาเป็นอย่างยิ่ง หากใครจะประกอบพิธี หรือทำกิจกรรมใด การเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ เช่น เปิดกิจการร้านค้า เริ่มการทำงาน ขึ้นบ้านใหม่ ออกเดินทาง หรือแม้กระทั่งการบวงสรวงทำพิธีมงคลต่างๆ ฯลฯ ต้องบอกกล่าวบูชาองค์พระพิฆเนศก่อนเป็นลำดับแรก จึงจะเป็นสิริมงคล และประสบความสำเร็จ
    ตำนานกำเนิดพระพิฆเนศ เชื่อกันว่า พระพิฆเนศเป็นโอรสของ พระศิวะ กับ พระศรีมหาอุมาเทวี (พระแม่อุมา) ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้เขียนคัมภีร์มหาภารตะ จากวาจาของพระฤษีวยาส และนับถือกันว่า เป็นเทพเจ้าแห่งการรจนาหนังสือ ดุจเดียวกับ พระสุรัสวดี
    พระพิฆเนศ มีกายเป็นมนุษย์ มีเศียรเป็นช้าง อีกชื่อหนึ่งจึงเรียกว่า คชานนท์ มีงาข้างเดียว อ้วนเตี้ย ท้องพลุ้ย หูยาน พระวรกายสีแดง สีขาว สีเหลือง ฯลฯ นุ่งห่มภูษาแดง มี ๔ กร ถือบ่วงบาศ ขอสับช้าง และมีเทพศัสตราวุธอีกหลายชนิด ซึ่งได้รับประทานจากพระศิวะ มีพาหนะบริวาร คือ หนู นามว่า มุสิกะ

    กำเนิดพระขันธกุมาร
    พระขันทกุมาร มหาเทพแห่งนักรบแห่งสวรรค์

    พระขันทกุมาร เป็นมหาเทพที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพระพิฆเนศ โดยในประเทศอินเดียจะเรียกพระขันทกุมารว่า ‘สกันทะ’ หรือแปลว่า ผู้ทำลาย หรือผู้โลดเต้น บางครั้ง อาจเรียกว่า ‘กรรตติเกยะ(บางแห่งเขียนว่า การัตติเกยะ)’ ส่วนทางอินเดียตอนใต้ จะเรียกกันว่า ‘สุพราหมัณเย’
    ตามหมู่บ้านต่างๆในประเทศอินเดีย พระขันทกุมารจะเป็นที่เคารพนับถือมาก โดยมักจะเห็นได้ว่า แทบทุกหมู่บ้านจะนิยมตั้งศาลเพื่อสักการะบูชาพระขันธ กุมาร

    รูปนี้แสดงถึง 2 พี่น้อง อันได้แก่ พระพิฆเนศ และ พระขันทกุมาร บางตำรากล่าวไว้ว่า พระพิฆเนศเป็นน้องชาย ในขณะที่บางตำราก็ว่าพระพิฆเนศเป็นพี่ชาย
    ตำนานกล่าวไว้ว่า พระขันธกุมาร (ขันทกุมาร) เป็นโอรสระหว่าง พระศิวะเทพ และ พระนางปราวตี (พระแม่อุมา) พระองค์ประสูติจากน้ำเชื้อของพระศิวะมหาเทพที่ร่วงหล ่นลงมาสู่พื้นธรณี ทำให้ยากที่จะพิสูจน์ว่า ระหว่างพระพิฆเนศและพระขันธกุมาร ใครเป็นพี่หรือใครเป็นน้อง
    สำหรับประวัติเทวกำเนิดของ พระขันทกุมาร นั้น ไม่ซับซ้อนเหมือนเทพเจ้าองค์อื่นๆ กล่าวกันไว้ว่า พระขันทกุมารเป็นหนุ่มรูปงามที่มี 6 พักตร์ (แม้ว่าบางแห่งวาดเป็นพระพักตร์เดียว) และมี 12 กร ส่วนผิวพรรณนั้นงดงามราวกับดวงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ แต่รูปร่างสง่างามดุจพระสุริยะเทพ
    พระขันทกุมารเกิดมาเพื่อปราบอสูรที่ชื่อ ตาระกาสูร ซึ่งเป็นกษัตริย์แห่งแคว้นตรีปุระ อสูรตนนี้มีความร้ายกาจเนื่องจากมีตบะที่แรงกล้า เพราะได้ทำสมาธิอย่างเข้มงวดมาเป็นเวลายาวนานกว่า 100 ปีสวรรค์ และสามารถบำเพ็ญฌานบารมีจนร้อนไปถึงพรหมโลก อีกทั้งยังไม่เกรงกลัวพระบารมีของพระพรหม เพราะคิดว่าตนเองก็เป็นหนึ่งเช่นกัน ซึ่งเป็นเหตุให้จักรวาลโกลาหลอลหม่านไปทั่ว
    การบำเพ็ญฌานบารมีของตาระกาสูรนั้น ทำให้พระพรหมอดทนไม่ได้ จึงต้องรีบเสด็จมาหาอสูรเพื่อประทานพรตามขอ พรที่อสูรตนนี้ขอแก่พระพรหม ก็คือ ขอให้ตนมีชีวิตเป็นอมตะ แข็งแกร่งจนไม่มีผู้ใดในตรีภพต้านทานได้ อีกทั้งต้องไม่มีใครสามารถสังหารเขาได้ นอกเสียจากโอรสของพระศิวะเทพ ซึ่งเหตุผลที่ขอพรไปเช่นนี้ก็เพราะล่วงรู้ความลับมาว ่า พระศิวะกับพระแม่อุมาเทวียังไม่มีโอรสด้วยกัน
    หลังจากที่ตาระกาสูรได้รับพรจากพระพรหมแล้ว ก็เริ่มทำตัวอันธพาลโดยการออกอาละวาดไปทั่วจักรวาลทั นที เริ่มต้นจากการยึดวิมาน และกวาดทรัพย์สินของพระอินทร์ไปเสียจนหมด อีกทั้งยังบังคับให้พระฤาษีมอบโคกามเกนุ ซึ่งเป็นโคที่สามารถบันดาลทุกสิ่งทุกอย่างแก่เจ้าของ ได้ทั้งหมด รวมไปถึงการเปลี่ยนกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ เช่น บังคับให้พระอาทิตย์ไร้แสงและไร้ความร้อน บังคับให้พระจันทร์ไม่มีวันหายไป หรือบังคับให้เกิดพายุพัดโหมกระหน่ำและเปลี่ยนทิศตาม คำสั่งของตน ซึ่งทุกๆการกระทำยังผลให้โลกเกิดความวุ่นวายเดือดร้อ นเป็นอย่างมาก
    กล่าวถึงฝ่ายเทวดาทั้งหลายอันมี พระวิษณุเทพ เป็นใหญ่ เหล่าเทวดาได้เสด็จไปเข้าเฝ้าพระศิวะเทพที่พระทวารปร ะทับชั้นใน และพร้อมกันเปล่งเสียงเพื่อสรรเสริญในพระบารมีแห่งมห าเทวะ คราวนั้นถึงกับทำให้พระศิวะต้องทรงผละพระวรกายปรากฎก ายต่อเบื้องหน้าเทพทั้งหลาย เมื่อพระองค์ทรงเห็นใบหน้าอันแสนเศร้าหมองของเทวดา จึงได้ไต่ถามว่ามีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น
    ฝ่ายวิษณุเทพผู้เป็นใหญ่ที่สุดจึงได้เล่าเรื่องราวขอ งอสูรตาระกาที่ได้รับพรจากพระพรหมให้มีชีวิตอมตะ และมีอำนาจเหนือใคร มีเพียงโอรสของพระศิวะเท่านั้นที่จะสามารถสังหารอสูร ตัวนี้ได้ ฝ่ายเทพทั้งหลายจึงตั้งหน้าตั้งตารอการประสูติของโอร สแห่งพระศิวะอยู่นานนับพันปี และได้มาเข้าเฝ้าเพื่อขอพึ่งบารมีของพระศิวะเทพ
    เมื่อได้ฟังดังนั้น พระศิวะมหาเทพ ก็ได้ทรงแบ่งน้ำเชื้อที่มีความร้อนเหมือนไฟแห่งการทำ ลายล้างออกมาหนึ่งหยด และปล่อยร่วงลงสู่พื้นดิน แต่ด้วยความรีบร้อน พระอัคนีจึงได้รีบแปลงกายเป็นนกเขา แล้วกลืนเอาน้ำเชื้อนั้นเข้าไป ด้วยความร้อนแรงแห่งน้ำเชื้อจนแทบทนไม่ได้ ทำให้พระอัคนีเกิดอาการร้อนรน พระศิวะจึงบอกให้ปล่อยน้ำเชื้อไปฝากไว้ในครรภ์ของผู้ หญิง แต่ต้องใส่ในครรภ์ของผู้หญิงที่ได้อาบน้ำในวันแรกของ เช้าตรู่เดือนมาฆะเท่านั้น
    ในวันนั้น ได้มีภริยาของฤาษีทั้ง 7 ตนมาอาบน้ำพอดี ปรากฎว่าภริยาทั้ง 6 คนของฤาษีที่ลงอาบน้ำ ได้ถูกน้ำเชื้อที่นกเขาคายไว้ แทรกซึมเข้าสู่ร่างกายไปตามรูขุมขน จนทำให้นางทั้งหกรู้สึกร้อนรนและทุกข์ทรมานเป็นอย่าง มาก และได้ถูกเหล่าฤาษีขับไล่ออกไปจากอาศรม จากนั้นจึงทำลายน้ำเชื้อตัวอ่อนทิ้ง แต่ด้วยอิทธิฤทธิ์แห่งโยคะที่เทือกเขาหิมาลัย เพื่อจะได้หลุดพ้นจากความทรมาน โดยการเหวี่ยงตัวอ่อนลงไปที่แม่น้ำคงคา เช่นเดียวกันกับ พระแม่คงคา ที่ได้เหวี่ยงเอาตัวอ่อนนี้ขึ้นไปที่พงหญ้า การกระทำเช่นนี้เปรียบเสมือนการชุบตัวจากแม่น้ำศักดิ ์สิทธิ์ จึงได้ปรากฎเป็นเด็กทารกน้อยขึ้นมาที่พงหญ้านั้น
    เมื่อโอรสแห่งพระศิวะเทพได้ถือกำเนิด พระพรหมก็ทรงรับรู้ได้ด้วยญาณ และให้พระฤาษีวิศวามิตรเดินทางไปประกอบพิธีให้แก่โอร สน้อยแห่งศิวะเทพ ทารกคนนี้มีความพิเศษ สามารถพูดได้ตั้งแต่ยังแบเบาะว่า “ด้วยประสงค์ของพระศิวะเทพที่ส่งท่านมายังที่นี้ ขอให้ท่านฤาษีจงประกอบพิธีทางศาสนาเพื่อชำระร่างกายข องข้า ให้บริสุทธิ์ตามกฎแห่งพระเวทที่วางไว้เถิด”
    กล่าวถึงฝ่ายพระอัคนีที่สมัยเคยจำแลงกายเป็นนกเขาและ อุ้มน้ำเชื้อไว้ ก็ได้เดินทางตามมาด้วย และได้ถวายคฑาศักดิ์สิทธิ์ให้กับพระองค์ เมื่อทารกได้รับอาวุธ พระขันทกุมารก็เหาะขึ้นไปบนยอดเขาแห่งหนึ่งทันที เพื่อเป็นการพิสูจน์ถึงพลังอำนาจแห่งตน จากนั้นก็ใช้คฑาฟาดฟันจนภูเขาถล่มทลายลงในทันตา และเมื่อยอดเขาแยกออก ก็ได้ปรากฎกายปีศาจ 10 โกฏิตนออกจำนวนมาก แต่พระองค์ก็สังหารจนหมดสิ้น
    เมื่อ นางกฤตติกา (กลุ่มดาวทั้ง 6 ดวง) ได้ลงมาอาบน้ำ แล้วแลเห็นกอหญ้ามีกุมารน้อยนอนอยู่ จึงนำเอากุมารไปเลี้ยงดูด้วยความรักใคร่ และเมื่อกลับมาถึงดินแดนของนางทั้งหก กุมารจึงได้แยกร่างออกเป็น 6 พระองค์ เพื่อไม่ให้แม่นมทั้ง 6 เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ ซึ่งบางตำนานอาจบอกว่ามีถึง 6 พระพักตร์ในร่างเดียว แต่ด้วยเหตุที่เป็นลูกที่รักยิ่งของนางการัตตี พระองค์จึงได้รับนามว่า พระการัตตีเกยะ (Kaitikeya)
    ในขณะเดียวกันนั้นเอง ได้เกิดเหตุแปลกประหลาดขึ้นกับพระนางปารวตี (พระแม่อุมาเทวี) กล่าวคือ ต้านมทั้งสองข้างมีน้ำนมไหลออกมา นางจึงได้ถามความกับพระศิวะ และทราบเรื่องน้ำเชื้อที่หล่นบนผืนดิน ซึ่งส่งผลให้นางมีน้ำนมไหลอยู่เช่นนี้ เมื่อรับรู้แล้วว่าโอรสถือกำเนิดแล้ว แต่กลับไม่ว่าอยู่แห่งหนใด พระศิวะจึงมีคำสั่งให้ผู้ใดที่ครอบครองกุมารอยู่ รีบเอามาคืนโดยด่วน มิฉะนั้นจะได้รับโทษอย่างหนัก
    พระศิวะเทพและพระอุมาเทวี เริ่มไต่ถามความจริงจากหมู่เทพ โดยเริ่มถามจากพระพรหม และไล่เรียงไปจนมาถึงกลุ่มดาวทั้งหก ซึ่งในที่สุดก็ได้รู้ความจริง พระศิวะเทพยินดีเป็นอย่างมาก ที่นางทั้งหกได้รับโอรสของพระองค์ไปดูแลเป็นอย่างดี จึงได้ส่งคณะเทพบริวารไปทูลเชิญกุมารให้กลับยังเขาไก รลาส
    ในวันเสด็จกลับนั้น พระนางปราวตีได้จัดส่งราชรถที่สร้างโดยพระวิศวกรรมไป รับ พระโอรสจึงเสด็จกลับมาพร้อมกับพระแม่กฤตติกาและ นนทิเกศวร และเมื่อราชรถมาถึงเขา ณ เขาไกรลาส เทพเทวดาทุกชั้นฟ้าก็เสด็จมาอำนวยชัย ต้อนรับกันอย่างเอิกเกริก ด้วยการประโคมดนตรีเป่าสังข์ และมีการนำเอาหม้อน้ำหลายร้อยใบที่บรรจุแม่น้ำศักดิ์ สิทธิ์ มาชำระล้างร่างกายให้แก่กับกุมาร
    พระนารายณ์ 10 ปาง
    พระวิษณุ (Vishnu) หรือพระนารายณ์ เทพผู้ดูแลรักษา

    พระวิษณุ (Vishnu) หรือ พระนารายณ์ เป็นหนึ่งในสามของมหาเทพ ที่คอยคุ้มครอง ป้องกัน และรักษาโลกทั้ง 3 ไว้ ตามความเชื่อจากคัมภีร์พราหมณ์ ของชาวฮินดู พระวิษณุจะมีลักษณะของพระวรกายเปลี่ยนไปตามยุค แต่ละยุคจะมีสีต่างกันพระวิษณุทรงฉลองพระองค์เหมือนอ ย่างพระมหากษัตริย์ สวมมงกุฎทอง และเสื้อผ้าสีเหลือง พระวิษณุมี 4 กร แต่ละกรก็จะถือสิ่งของที่ต่างกันไป อาวุธของพระวิษณุที่เห็นได้บ่อยที่สุด ก็คือ สังข์ จักร ตรี คทา ส่วนอีกกรอาจจะถือดอกบัวบ้าง หรืออยู่ในลักษณะประทานพร ซึ่งจะไม่ถืออะไรเลย ส่วนพาหนะของพระวิษณุคือ พญาครุฑ
    ที่ประทับของพระวิษณุจะอยู่ที่เกษียรสมุทร โดยพระวิษณุชอบที่จะบรรทมอยู่บนหลังอนันตนาคราช ข้างกายของพระวิษณุ จะมีพระชายา ที่ชื่อว่า พระลักษมีมหาเทวี เฝ้าปรนิบัติอยู่ไม่ห่าง
    พระวิษณุ ยังมีอีกชื่อหนึ่งว่า “หริ” หรือมีความหมายว่า ผู้ดูแลแห่งจักรวาล ด้วยเหตุนี้จึงยกว่าพระวิษณุถือเป็นเทพสูงสุด เนื่องจากทุกอย่างเกิดขึ้นจาก “หริ”
    “หริ” สามารถแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ
    พระพรหม ผู้มีหน้าที่บันดาลสรรพสิ่งทุกอย่างในทั้งสามโลก
    พระวิษณุ หรือ พระหริ ผู้มีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อย ความสงบ และความสมดุล ของโลกทั้งสาม
    พระศิวะ ผู้มีหน้าที่ทำลายสิ่งร้ายทุกประการในทั้งสามโลก
    ในคัมภีร์ไวษณพนิกาย (ซึ่งเป็นคัมภีร์สำหรับผู้ที่นับถือพระวิษณุ) ได้กล่าวถึงการกำเนิดของพระวิษณุ ไว้ว่า เมื่อพระวิษณุประสงค์จะสร้างโลกทั้งสาม ท่านได้เห็นว่าแม้ตัวเองจะเป็นผู้เป็นใหญ่ที่สุดในจั กรวาลมี แต่การสร้างโลกทั้งสามนี้ถือเป็นงานหนักมากเกินกว่าท ี่คนเดียวจะทำได้ เมื่อคิดดังนั้น พระองค์จึงแบ่งร่างกายของพระองค์ออกเป็นส่วนๆ จนได้เป็นมหาเทพทั้ง 3 พระองค์ แขนซ้ายเกิดขึ้นมาเป็นพระพรหม แขนขวาเกิดขึ้นมาเป็นพระศิวะ และหน้าอกส่วนลำตัวเกิดขึ้นมาเป็นพระวิษณุ (ตามรูปตรีมูรติ จะแสดงให้เห็นว่า พระวิษณุจะมีพระพักตร์อยู่ตรงกลางเสมอ)
    ส่วนในคัมภีร์ของไศวนิกาย (ซึ่งเป็นคัมภีร์สำหรับผู้ที่นับถือพระศิวะ) กลับกล่าวแตกต่างกันออกไป โดยกล่าวไว้ว่า พระปรเมศวร หรือ พระศิวะ เป็นผู้สร้างพระวิษณุ ที่เป็นเช่นนี้เพราะ พระองค์ต้องการทำงานใหญ่ โดยจะสร้างสวรรค์และโลก จึงต้องการผู้ช่วย ว่าแล้วก็นำพระหัตถ์ข้างซ้ายมาลูบพระหัตถ์ข้างขวา ทำให้ปรากฎเป็นเทพนามว่า “พระวิษณุ” หรือ “พระนารายณ์” ขึ้นมา จากนั้นพระปรเมศวรก็ได้สอนความรู้ด้านศิลปะในทุกด้าน ให้แก่พระวิษณุ และมอบเกษียรสมุทรให้เป็นที่ประทับ หากเกิดเหตุร้ายไม่ว่าจะเป็นในโลกมนุษย์ หรือสวรรค์ พระวิษณุจะต้องไปทำหน้าที่กำจัดเหล่าอสูร และผู้ที่ประสงค์ร้ายคนนั้น ๆ หรือในบางครั้งบางคราว อาจจะมีเหล่าเทพเทวดามาร้องขอบ้าง
    ในขณะที่คัมภีร์มหาภารตะ กล่าวไว้ว่า เดิมที่พระนารายณ์เป็นเพียงฤๅษีตนหนึ่ง ผู้เป็นบุตรของฤๅษีธรรมมะ และได้เดินทางพร้อมเพื่อนสนิทที่ชื่อว่า “นร” จากโลกมนุษย์ไปยังสถานที่ของพวกพราหมณ์ โดยมีจุดประสงค์เพื่อบำเพ็ญเพียร จนในที่สุดก็ได้รับการเคารพบูชาจากเทวดาทั้งหลาย และในเวลาต่อมา ก็มีเหล่าเทวดามาขอร้องให้ช่วยกำจัดอสูรให้ ฤๅษีทั้งสองเห็นว่าเทวดาได้รับความเดือดร้อน จึงรับปากช่วยเหลือ ซึ่งฤาษีก็สามารถสู้รบชนะอสูรได้จนสำเร็จ จึงได้รับความเคารพจากเหล่าเทวดามากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ภายหลัง ฤๅษีนารายณ์ได้เดินทางไปยังหิมาลัยเพื่อออกบำเพ็ญเพี ยร และได้ไปบรรลุผลเป็นพราหมณ์ หรือผู้รู้แจ้งทุกสิ่งในโลกในที่สุด ฤๅษีนารายณ์จึงได้เป็นผู้นำแหล่งเหล่าพราหมณ์ และได้รับการรู้จักและยกย่องบูชาในนาม “พระวิษณุหรือ พระนารายณ์ ในเวลาต่อมา
    ความแตกต่างของความเชื่อ ทำให้คำเรียกของพระวิษณุ พระนารายณ์ ถูกเรียกขานกันต่างออกไปหลายรูปแบบ ซึ่งจะไม่เหมือนกันแล้วแต่ฤทธิ์อำนาจ หรือเหตุการณ์ที่ต่างกันตามเวลา ยกตัวอย่างเช่น
    อนันตะ แปลว่า ไม่สิ้นสุด, จตุรภุช แปลว่า มี 4 กร, มุราริ แปลว่า เป็นศัตรูแห่งมุระ, นระ (นะระ) แปลว่า ผู้ชาย, นารายณ์ แปลว่า ผู้ที่เคลื่อนไปในน้ำ, ปัญจายุทธ แปลว่า พระผู้ทรงอาวุธทั้ง 5 อย่าง, ปีตามพร แปลว่า ทรงเครื่องสีเหลือง, ทโมทร แปลว่า มีเชือกพันเอาไว้รอบเอว, กฤษณะ, โควินทะ, โคบาล แปลว่า ผู้เลี้ยงวัว, ชลศายิน แปลว่า ผู้นอนเหนือน้ำ, พระพิษณุหริ แปลว่า ผู้สงวน, อนันตไศยน แปลว่า นอนบนอนัตนาคราช, ลักษมีบดี แปลว่า ผู้เป็นสามีของพระลักษมี, วิษว์บวร แปลว่า ผู้คุ้มครองโลก, สวยภู แปลว่า เกิดเอง, เกศวะ แปลว่า ผู้มีผมอันงาม, กิรีติน แปลว่า ผู้ใส่มงกุฎ
    พระวิษณุ หรือ พระนารายณ์ ทรงประทับที่ไวกูณฐ์ หรือ บนสวรรค์ มีพระวรกายสีนิล แต่งกายดั่งกษัตริย์ มีมงกุฎเหนือศีรษะ อาภรณ์มีสีเหลือง มีพาหนะเป็นครุฑ มีกร 4 กร ซึ่งถือสังข์ จักร ตรี คทา สลับกันเป็นอาวุธ หรือบ้างก็ทรงถือ ดอกบัว ลูกศร ดอกไม้ เชือกบ่วงบาศ หรือสายฟ้า
    ความสำคัญด้านศาสนา-ลัทธิ
    เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 3-6 ในขณะที่ ลัทธิไวษณพนิกาย ที่นับถือว่าพระวิษณุเป็นใหญ่ที่สุดเหนือมหาเทพทั้งห ลาย กลายเป็นลัทธิที่มีความรุ่งเรืองมากขึ้นในสมัยราชวงศ ์คุปตะ ทำให้กษัตริย์อินเดียส่วนใหญ่นับถือลัทธินี้ และอุปภัมภ์ลัทธินี้ไว้ ทั้งนี้ได้ถือเอาว่า หัวใจที่สำคัญของลัทธิภควตา (Bhagavata) คือ การอวตารขององค์พระวิษณุ
    พอถึงในสมัยราชวงศ์คุปตะ ลัทธิก็ยังคงเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาเป็นลำดับ และถึงแม้ว่าราชวงศ์คุปตะจะเสื่อมลง ลัทธิความเชื่อนี้ก็ยังคงปรากฎอยู่ ชาวฮินดูจึงยังเคารพบูชาปางอวตารของพระวิษณุ สืบต่อกันมาจวบจนถึงในปัจจุบัน
    การอวตาร (Avatar) หรือ รากศัพทฺในภาษาอังกฤษเขียนว่า “Incarnation” ที่มีความหมายว่า “การลงมา” หมายถึง “การลงมาเกิดเป็นมนุษย์” หรือ “การเข้าในร่างของมนุษย์” การที่พระวิษณุเสด็จลงมามีชีวิตบนโลกมนุษย์ กันเพื่อปราบยุคเข็ญตามภาคตอนต่าง ๆ ถือเป็นภารกิจอันสำคัญอย่างยิ่งของพระองค์ และเมื่อมียุคเข็ญเกิดขึ้นบนโลกมนุษย์ พระวิษณุก็จะลงมาอวตาร เพื่อขจัดความทุกข์ยากให้หมดสิ้นไป
    การอวตารของพระวิษณุ
    พระวิษณุอวตารลงมาเป็นทั้งมนุษย์และสัตว์ ซึ่งเหตุผลของการอวตารของพระองค์จะเป็นไปตามหลายเหตุ ผล เช่น เป็นคำสั่งของพระศิวะ หรือการร้องขอของเหล่าเทวดา ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการยากที่จะนับจำนวนครั้งของการอว ตารของพระวิษณุ
    จุดประสงค์การอวตารเพื่อลงมาช่วยเทวดา และมนุษย์โลก มีทั้งหมด 25 ปาง โดยปางที่สำคัญมากที่สุดแบ่งได้ 10 ปาง ดังต่อไปนี้
    ปางที่ 1 มัตสยาวตาร (อวตารเป็นปลา) เพื่อช่วยไม่ให้เกิดน้ำท่วมโลก อันจะทำให้มวลมนุษย์และสัตว์เดือดร้อน
    ปางที่ 2 กูรมาวตาร (อวตารเป็นเต่า) เพื่อช่วยหมู่เทวดา และ อสูรกวนเกษียรสมุทร
    ปางที่ 3 วราหาวตาร (อวตารเป็นหมูป่า) แบ่งเป็น 2 ตำนาน คือ 1) เพื่อปราบอสูรที่ชื่อว่า “หิรัณยากษะ” ที่ขโมยเอาแผ่นดินไปม้วนเหน็บไว้ที่แนบกาย และ 2) เพื่อสงบศึกการต่อสู้ระหว่างพลังอำนาจของพระศิวะ และ พระพรหม
    ปางที่ 4 นรสิงหาวตาร (อวตารเป็นครึ่งสิงห์) เพื่อกำจัดอสูรที่ชื่อว่า “หิรัณยกศิปุ” น้องชายของ “หิรัณยากษะ”
    ปางที่ 5 วามนาวตาร (อวตารเป็นพราหมณ์เตี้ย)เพื่อปราบอสูรที่ชื่อว่า “พาลี” ที่เป็นเหลนของ “หิรัณยกศิปุ”
    ปางที่ 6 ปรศุรามาวตาร (อวตารเป็นพราหม์ผู้ใช้ขวานเป็นอาวุธ) เพื่อกำจัดมนุษย์ผู้กษัตริย์ที่มีใบหน้าหนึ่งพันหน้า ที่ชื่อว่า “พระเจ้าอรชุน” หรือ “พระเจ้าสหัสอรชุน” ผู้ก่อให้เกิดยุคเข็ญและทำลายล้มศาสนา
    ปางที่ 7 รามาวตาร หรือ รามจันทราวตาร(อวตารลงมาเป็นพระราม) เพื่อกำจัดอสูรที่ชื่อว่า “ราวณะ” หรือ “ราพณ์” หรือที่คนไทยเรียกกันว่า “ทศกัณฐ์” ผู้เป็นกษัตริย์แห่งกรุงลงกา ปางอวตารนี้ถือเป็นหลักของจารีต ประเพณี และขนบธรรมเนียมของสังคมในประเทศอินเดีย
    ปางที่ 8 กฤษณาวตาร (อวตารลงมาเป็นพระกฤษณะ) เพื่อขับรถม้า และสอนวิธีการดำเนินชีวิต ให้แก่ “พระอรชุน”
    ปางที่ 9 พุทธาวตาร (อวตารลงมาเป็นพระพุทธเจ้า) จากความเชื่อของชาวฮินดู เล่าว่า พระนารายณ์ที่อวตารลงมาในปางนี้ มีจุดประสงค์เพื่อหลอกลวงให้พวกที่ไม่นับถือวรรณะแยก ออกไปจากศาสนาพราหมณ์ หรือในบางแห่งก็เชื่อกันว่า ปางที่เก้านี้เป็นการอวตารลงมาคู่กับพระกฤษณะ ที่เรียกว่า พลรามาวตาร (อวตารลงมาเป็นพลรามหรือพระพลราม) ผู้เป็นพี่ชายของพระกฤษณะ
    ปางที่ 10 กัลกยาวตาร หรือ กัลกิยาวตาร(อวตารเป็นกัลกี หรือมนุษย์ผู้ขี่ม้าขาว ) เป็นการอวตารที่ทำนายอนาคตเอาไว้ จึงยังไม่เกิดขึ้นจริง แต่ทำนายไว้ว่า เมื่อถึงเวลาที่เป็นปลายแห่งกลียุค หรือเป็นเวลาที่ผู้คนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี หรือไม่รู้จักธรรมะอีกต่อไป จะมีผลให้โลกทั้งโลกต้องเผชิญกับยุคเข็ญไปทั่ว ซึ่งในเวลานั้นจะมีบุรุษขี่ม้า มาปรากฏกาย เพื่อช่วยขจัดปัดเป่าความเดือดร้อน และนำธรรมะกลับมาสู่โลกใบนี้อีกครั้งหนึ่ง
    พระนารายณ์ 10 ปาง ในพระพุทธศาสนา
    คาดเดาว่า ชาวพุทธไม่ยินดีที่ชาวฮินดูจะนำเอาพระศาสดาของพุทธไป เป็นอวตารเป็นปางหนึ่งของมหาเทพของศาสนาพุทธ จึงมีการเปลี่ยนปางที่ไม่สำคัญเข้ามาแทนที่ อันได้แก่
    ปางที่ 1 วราหาวตาร (อวตารเป็นหมูเผือกเขี้ยวเพชร)
    ปางที่ 2 กูรมาวตาร (อวตารเป็นเต่าทอง)
    ปางที่ 3 มัตสยาวตาร (อวตารเป็นปลากรายทอง)
    ปางที่ 4 นรสิงหาวตาร (อวตารเป็นครึ่งสิงห์)
    ปางที่ 5 วามนาวตาร หรือ ทวิชาวตาร (อวตารเป็นพราหมณ์เตี้ย)
    ปางที่ 6 มหิงสาวตาร (อวตารเป็นควาย)
    ปางที่ 7 อัปสราวตาร (อวตารเป็นนางฟ้า)
    ปางที่ 8 รามาวตาร (อวตารเป็นมนุษย์ที่ชื่อว่าพระราม)
    ปางที่ 9 กฤษณาวตาร (อวตารเป็นพระกฤษณะ)
    ปางที่ 10 กัลกยาวตาร (อวตาร วีรบุรุษขี่ม้าขาวในร่างมนุษย์)
    ความเชื่อและคตินิยม
    พระวิษณุ หรือ พระนารายณ์ มี 4 กร แต่ละกรก็จะถือสิ่งของที่ต่างกันไป อาวุธของพระวิษณุที่เห็นได้บ่อยที่สุด ก็คือ สังข์ จักร ตรี คทา พระวิษณุถือเป็นเทพผู้สร้าง ถ่ายทอดความรู้ด้านงานช่างต่างๆ โดยอิทธิฤทธิ์ที่มีได้รับมาจากพระอิศวร มากมาย อีกทั้งยังมีความเชื่ออีกว่า หากใครนิยมบูชา พระวิษณุจะคุ้มครองให้มีโชคลาภ แต่บุคคลผู้นั้นจะต้องดำเนินตนอยู่ในศีล มีสัจจะ รวมทั้งเจริญภาวนาเป็นที่ตั้ง ผู้ที่นับถือพระวิษณุ ควรท่องคำบูชาพระวิษณุ หรือ นารายณ์ ดังนี้
    “โอม…นะโม นารายณะ นามะ ภะวันตุเม ทุติยัมปิ…นะโม นารายณะ นามะ ภะวันตุเม ตะติยัมปิ…นะโม นารายณะ นามะ ภะวันตุเม ฯ”
    หากต้องการอธิษฐานขอพรพระนารายณ์ ให้กล่าวตามดังนี้
    “ โอม…ศานตาการัม ภุชะคะศะยะนัม ปัทมะนาภัมสุ ุเรศัม วิศวาธารัม คะคะนะสะทฤศัม เมฆะวรรณัม ศุภางคัม ลักษมีกานตัม กะมะละนะยะนัม โยคิภีร์ ธยานะคัมมยัม วันเทวิษณุมอภะวะภะยะหะรัม สรรวะโลกัยกานาถัม ฯ”
    หากต้องการอธิษฐานขอพรพระวิษณุ ให้กล่าวตามดังนี้
    “โอม…สะศางขะจักรัม สะกิริฏะ กุณตะลัม สปิตะวัสตรัม สะระสีรูเหกษณัม สะหาระวักษะสถะละ เกาสตุภะ ศริยัม นะมามิ วิษณุม ศิระสา จตุรภุซัม ฯ”
    หากต้องการอธิษฐานขอพรพระราม ให้กล่าวตามดังนี้
    “ โอม…นีลามพุชะ ศยามะละ โกมะลางคัมสีตา สมา โรปิตะ วามะภาคัม ปาเณา มหาสายะกะ จารุ จาปัม นะมามิ รามัม ระฆุวัมศะ นาถัม ฯ”
    กฤษณะมหาเทพ
    พระกฤษณะ เทพแห่งความหลุดพ้น เป็นองค์อวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์
    กล่าวถึงคัมภีร์ปุราณะ มหากาพย์รามายณะ มหาภารตะ (หนังสือที่ยาวที่สุดในโลกมีมหากาพย์เรื่อง “มหาภารตะ” ) และตำนานเก่าต่างๆของอินเดีย รวมไปถึงคัมภีร์ทางศาสนาฮินดูอื่นๆ ได้มีการบันทึกเรื่องราวที่กล่าวถึงพระวิษณุเทพที่ได ้อวตารลงมาเพื่อกำจัดยุคเข็ญให้แก่เหล่ามวลมนุษย์ ในช่วงที่โลกเกิดเหตุการณ์โกลาหลและไร้ความสงบสุขเนื ่องจากเหล่าอสูร พระองค์จึงทรงอวตาลลงมาในปางต่างๆ ซึ่งปางพระกฤษณะเทพ ถือเป็นปางที่ 8 จากการอวตาร 10 ปาง
    ลัทธิไวษณพนิกาย กล่าวไว้ว่า พระกฤษณะเกิดมาเพื่อทำลายอสูรที่ชื่อกังสะ ผู้ซึ่งเป็นลุงของพระกฤษณะเอง อสูรกังสะตนนี้แปลงกายมาเป็นกษัตริย์ อุคราเสน ครองเมืองมถุรา และใช้อำนาจอันมิชอบแย่งชิงมเหสีมาจากกษัตริย์องค์จร ิงอย่างไรก็ตาม พระมเหสีทรงไม่ทราบว่าความจริงว่าสวามีของตนคืออสูรก ังสะ เมื่ออสูรขึ้นครองเมืองก็สร้างความเดือดร้อนให้แก่ปร ะชาชนโดยทั่วไป เมื่อความไปถึงพระวิษณุเทพ พระองค์จึงต้องอวตารลงมาในปางพระกฤษณะเพื่อปราบอสูรก ังสะตนนี้
    พระกฤษณะเป็นบุตรของ พระวสุเทพ(โอรสท้าวศูรราช) กับ นางเทวกี (บุตรีท้าวอุคระเสน) แห่งนครมถุรา เมื่อสิ้นสุดสมัยของท้าวศูรราช ท้าวอุคระเสนก็ขึ้นปกครองเมืองมถุราต่อ แต่พญากงส์ ผู้เป็นบุตรของท้าวอุคระเสนได้ก่อการกบฏ โดยถอดท้าวอุคระเสนออก แล้วขึ้นปกครองเมืองเสียเอง
    ครั้งเมื่อนางเทวกีตั้งครรภ์ ได้มีโหรทำนายว่าทารกที่อยู่ในครรภ์นี้ คือผู้วิเศษมาเกิด เมื่อพญากงส์ทราบเรื่อง จึงจับขังพระวสุเทพและนางเทวกีเอาไว้ และหากครบกำหนดคลอด ก็ให้ฆ่าทารกคนนั้นเสีย เหตุการณ์ปรากฎเช่นนี้อยู่ 6 ครั้ง จนถึงครั้งที่ 8 เทวดาจึงได้ย้ายทารกไปไว้ในครรภ์ของนางโหริณี ผู้เป็นมเหสีฝ่ายซ้ายของพระวสุเทพแทน ทำให้สามารถคลอดทารกออกมาได้
    ทารกนี้มีนามว่า พระกฤษณะ ผู้มีกายสีดำ และมีลักษณะของมหาบุรุษเพียบพร้อม พระวสุเทพจึงนำกุมารผู้นี้ไปฝากไว้กับโคบาลที่ชื่อว่ า นันทะ และนางยโศธา แล้วสลับเอาทารกของนางยโศธามาแทน แต่เมื่อพญากงส์ทราบเข้า ก็สั่งให้ฆ่าทารกเสียทั้งหมด แล้วไปจับตัวพระกฤษณะมาให้ได้
    นันทะและนางยโศธาได้พาพระกฤษณะหนีไปอยู่ที่ตำบลพฤนทา พน พระกฤษณะจึงเติบโตขึ้นร่วมกับหมู่โคบาล ระหว่างที่พระองค์เติบโตขึ้น ก็ได้ทรงแสดงปาฏิหารย์เหนือมนุษย์มากมาย เช่น สามารถยกภูเขาโควรรธนะจนมีชัยเหนือพระอินทร์ และได้ชื่อว่า อุเปนทร ที่มีความหมายว่า ‘ดีกว่าพระอินทร์’ รวมถึงได้ทรงปราบพญานาคกาลียะ ฯลฯ
    ด้วยความพยาบาท ญากงส์จึงพยายามที่จะสังหารพระกฤษณะหลายครั้ง ในที่สุดพญากงส์ก็ออกอุบายเชิญให้พระกฤษณะไปเล่นสรรพ กีฬาในเมืองมถุรา พญากงส์ได้แอบวางตัวมวยปล้ำที่เก่งที่สุดเอาไว้ เพื่อหวังจะให้กำจัดพระกฤษณะ แต่สุดท้าย พระกฤษณะก็สามารถเอาชนะได้ และได้ฆ่าพญากงส์จนตาย หลังจากนั้นเป็นต้นมา พระเจ้าอุคระเสนก็ขึ้นครองเมืองอย่างเป็นสุขตลอดไป

    เจ้าแม่มหาลักษมี
    พระลักษมี เทพีแห่งความความงาม ความอุดมสมบูรณ์

    พระลักษมี (สันสกฤต: ลกฺษฺมี) หรือ พระมหาลักษมี ในศาสนาฮินดู นับถือพระลักษมีให้เป็นเทพีแห่งความมั่งคั่ง ความสวยงาม โชคชะตา ความรัก ดอกบัว และความอุดมสมบูรณ์ พระแม่ลักษมีมีรูปเคารพที่พบได้ตามศาสนสถานที่ใช้ในศ าสนาฮินดู ศาสนสถานในศาสนาเชน และศาสนสถานในศาสนาพุทธ
    กล่าวกันไว้ว่า พระลักษมีและเทพีแห่งกรีกองค์หนึ่ง ที่มีนามว่า “อโฟรไดท์ตี้” มีความเหมือนคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก ความเหมือนที่ว่านี้ เนื่องจากเทพีทั้งสองนี้ถือกำเนิดมาจากท้องทะเลอันกว ้างใหญ่เหมือนกัน อีกทั้งทั้งคู่ยังเป็นตัวแทนของความงดงามด้วย
    พระแม่ลักษมี และ พระวิษณุ นั้นเป็นคู่กัน ครั้งที่พระวิษณุอวตารเป็นพระราม พระแม่ลักษมีก็อวตารมาเป็นนางสีดาคู่กับพระรามด้วย ส่วนเมื่อครั้งที่พระวิษณุอวตารลงมาเป็นพระกฤษณะ พระแม่ลักษมีก็ตามลงมาอวตารเป็น พระนางรัตตะ(พระราธา) คู่กับพระกฤษณะด้วย


    http://www.filecondo.com/dl.php?f=Y6aaf91Ddsvl

  2. The Following User Says Thank You to Duckload.us For This Useful Post:

    Visit (05-25-2017)

  3. #2
    Senior Member
    สมัครเมื่อ
    Oct 2012
    โพสต์
    492
    Thanks
    12
    Thanked 0 Times in 0 Posts
    ขอบคุณมากมายครับ.

+ ตอบกลับกระทู้

ข้อมูลกระทู้

Users Browsing this Thread

ในขณะนี้มี 1 ท่านดูกระทู้อยู่. (0 สมาชิกและ 1 ผู้เยี่ยมชม)

     

กฎการโพสต์ข้อความ

  • ท่าน ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
  • ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
  • ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขข้อความโพสต์ได้
  • BB code สถานะ เปิด
  • Smilies สถานะ เปิด
  • [IMG] สถานะ เปิด
  • HTML สถานะ ปิด