+ ตอบกลับกระทู้
สรุปผลการค้นหา 1 ถึง 3 จากทั้งหมด 3
  1. #1
    Administrators รูปส่วนตัว Duckload.us
    สมัครเมื่อ
    Dec 2010
    โพสต์
    150,484
    Thanks
    7
    Thanked 157,700 Times in 68,839 Posts

    Angry [ฝรั่ง]-สำหรับนักสะสม Batman Batman Collection (1989-2012) (7ภาค) ***BOXSET***-HDTV.MPEG-1.1080p. [Master]- [พากย์ไทย/อังกฤษ] [บรรยายไทย/อังกฤษ][Modified] ***งานดี ทีมคุณภาพ คัดสรรค์มาแล้ว***



    แนวหนัง แอ๊คชั่น หลังจาก Batman เวอร์ชั่น TV เสื่อมความนิยมลงไปจนเลิกสร้าง หนังแบทแมนก็เงียบไปพักนึง จนพอ Superman สามารถสร้างเป็นหนังใหญ่จนโด่งดังเมื่อปี 1978 ทำให้อนาคตของหนัง Batman เริ่มมีการนำมาพูดถึงอีกครั้ง ตั้งแต่ปี 1980 โน่นน่ะครับ โดยเนื้อเรื่องจะมีทั้งแบทแมนและโรบิน ส่วนศัตรูก็จะมีสองตัวเช่นกัน นั่นคือ โจ๊กเกอร์กับเพนกวิน แต่แล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อสองผู้อำนวยการสร้าง Jon Peters และ Peter Guber เข้ามารับงานแทน แล้วก็เสนอ Tim Burton ให้กำกับ ตอนแรกนั้นบริษัทกะจะสร้างให้ Batman ที่กลับมาครั้งนี้มีรูปแบบเป็นหนังแอ๊คชั่น ตลก แบบเดียวกับฉบับทีวีเมื่อปี 1966 แล้วก็วางให้ Bill Murray แสดงเป็นแบทแมน (โอ้แม่เจ้า) แต่ก็ล้มเลิกไปเมื่อ Tim Burton ก้าวเข้ามา (โล่งอก ) พี่ Tim แกต้องการจะทำหนัง Batman ให้เป็นแบบดาร์คไซด์ครับ ประมาณว่ามืดๆ หม่นๆ กันไปเลย เรื่องราวก็จะเน้นในเชิงจิตวิทยาโดยให้แต่ละตัวละครล ้วนมีปมทางจิตใจทั้งนั้น (ประมาณว่ามีโอกาสบ้าสูงน่ะว่างั้นเถอะ) และความจริงแล้ว พี่ Tim อยากจะสร้างหนังจากการ์ตูนชุด The Dark Knight Returns เมื่อปี 1986 ของ Frank Miller มากกว่า ถึงตรงนี้ก็ต้องขอย้อนความซักหน่อย คือการ์ตูนแบทแมนนี่ ดั้งเดิมก็ถือกำเนิดมาจาก Bob Kane เมื่อปี 1939 โน่นใช่มั้ยครับ อ้านั่นแหละ ส่วนไอ้ The Dark Knight Returns นั้นเป็นการ์ตูนที่เขียนขึ้นโดย Frank Miller นักเขียนที่มีชื่อเสียงมากสุดๆ คนหนึ่ง ในยุค 80 เพราะพี่ท่านเขียนการ์ตูนแนวทึมๆ ได้สาใจชาวบ้านมาก พร้อมทั้งเนื้อเรื่องก็เข้มข้นอีกด้วย จนจะเรียกว่าพี่ท่านเป็นผู้เปิดศักราชใหม่แห่งการตูน แนวมืดทะมึนดำทมิฬก็คงไม่ผิดอะไร เนื้อหาใน Dark Knight Returns ก็จะเป็นการพูดถึงบรูซ เวย์นตอนอายุ 50 ปีที่แก่ชราและวางมือจากชุดค้าวคาวไปนานแล้ว มิหนำซ้ำยังติดเหล้าและจมอยู่กับอดีตอีกต่างหาก (ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ Tim ถึงอยากทำ) แต่เขาก็ต้องกลับมาปกป้องมืองก็อตแธมอีกครั้งเมื่อแก ๊งวายร้ายที่ชื่อว่า มิวแทนต์ ยกพวกมาก่อกวนความสงบ และเหนืออืนใดคือ เขายังต้องกลับมาเจอกับสุดยอดวายร้ายคู่ปรับตลอดกาลอ ย่าง โจ๊กเกอร์อีกด้วย ซึ่งการต่อสู้ครั้งนี้ก็รุนแรงและหนักหนาถึงขั้นจนกว ่าจะตายกันไปข้างนึงเลยล่ะครับ
    นั่นคือสิ่งที่พี่ Tim แกเสนอทาง Warner Bros. ไป แต่ทางนั้นเขาก็ตอบกลับมาว่า ควรจะเริ่มสร้างจากจุดเริ่มก่อน เพราะเนื้อหาของ Dark Knight Returns มันถือเป็นบทสรุปของหนังชุดนี้ ดังนั้นจู่ๆ ทำเรื่องแรกจะให้มาเป็นตอนสรุปเลยก็ไม่เหมาะนัก (เพราะใจจริง Warner Bros. หวังจะให้สร้างภาคต่อครับ ดังนั้นขืนสร้างตอนจบขึ้นมาดื้อๆ ก็ปิดประตูภาคต่อกันพอดี (ยังมีข่าวลือมาอีกว่าแบทแมนเวอร์ชั่นนั้นจะมีความยา วประมาณ 4 ชั่วโมง (เฮ้ย)… อันนี้ก็มากโขอยู่นา) พี่ Tim แกเลยยอมทำโดยนำเอาเรื่องราวของแบทแมนในสมัย Bob Kane มาทำแทน จากนั้กน็มีการคัดเลือกดาราอีกมากมาย ไม่ว่าจะ Alec Baldwin, Charlie Sheen, Pierce Brosnan รวมไปถึงพี่ Mel Gibson ซึ่งถือว่าเป็นตัวเก็งมาแต่ไกลเลย แต่เผอิญพี่แกดันติดสัญญากับหนัง Lethal Weapon 2 ก็เลยชวดบทไปในบัดดล อีกคนที่เสนอตัวจะมาแสดงก็คือ Adam West ผู้รับบทหนังชุด Batman เมื่อปี 1966 นั่น แต่ทีมงานก็ปฎิเสธไป โดยเสนอให้ West มาแสดงรับเชิญเป็นพ่อของบรูซแทน ซึ่งเขาก็ปฏิเสธไม่ยอมเล่นตามฟอร์ม สุดท้ายบทแบทแมนก็ตกมาอยู่ในมือของ Michael Keaton ซึ่งก็เป็นไปตามคาดครับที่แฟนๆ แบทแมนจะแอนตี้กันกระจาย แต่พี่ Tim และ Bob Kane ต่างเห็นพ้องต้องกันว่านี่แหละครับเหมาะดับบทบรูซ เวย์นและแบทแมนเอามากๆ ด้วยหน้าตาอมทุกข์และติดอยู่กับอดีตแบบนี้ แล้วพอทำหนังออกมาแฟนๆ ก็ยอมรับแต่โดยดี หนังในภาคนี้ก็กล่าวบรูซ เวย์น (Keaton) มหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งซึ่งเมื่อก็อตแธมมีภัย เขาก็จะสวนชุดแบทแมนออกปราบปรามเหล่าร้าย


    ศึกมนุษย์เพนกวินกับนางแมวป่า แนวหนัง แอ๊คชั่น – แฟนตาซี – ชีวิต ภาคแรกดัง ไม่มีภาคสองก็กระไรอยู่ครับ เนื้อเรื่องในภาคนี้บรูซ เวย์น หรือแบทแมนของเรา (Michael Keaton) ต้องออกมาต่อกรกับเหล่าร้ายอีกครั้ง โดยศัตรูในภาคนี้มีถึงสามตัวด้วยกัน คนแรกคือ เพนกวิน (Danny DeVito) หรือออสวอลด์ คอปเปิลพ็อตต์ เด็กพิการที่ถูกพ่อแม่ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีจับใส่ตะกร้า แลัวทิ้งให้ลอยไปตามห่อระบายน้ำ จนเมื่อเขาเติบโตก็มีความแค้นคับอกพร้อมที่จะระเบิดไ ด้ทุกเมื่อ ตัวที่สองคือ เซลีน่า ไคล์น (Michelle Pfeiffer) เลขาสาวที่โดนเจ้านายจับโยนลงมาจากตึกด้วยข้อหารู้ใน สิ่งที่ไม่ควรจะรู้ แต่เธอกลับไม่ตายครับ ธอฟื้นขึ้นมาด้วยการปลุกของเหล่าแมว และเธอก็กลายมาเป็นนางแมวป่าหรือแคทวูเมน ผู้ต้องการจะแก้แค้นสังคมสกปรกที่ทำลายเธอ ตัวสุดท้ายคือ แม็กซ์ ชเร็ค (Christopher Walken) นักธุรกิจจอมโลภที่หวังจะครอบครองทุกอย่างของเมืองก็ อตแธม ภาคนี้จัดว่าสาใจกว่าภาคก่อนมากมายหลายเท่า เริ่มจากเรื่องของฉากต่างๆ ที่มีความสวยงามตระการตาอย่างมาก ตั้งแต่ฉากในเมืองก็อตแธมไปจนถึงอาณาจักรใต้ท่อระบาย น้ำของเพนกวินที่ทั้งยิ่งใหญ่และน่ากลัวดุจเดียวกับป ราสาทของท่านเคาน์ แดร็กคูล่าก็ว่าได้ Effect ต่างๆ ไมไ่ด้แค่เพื่อให้เกิดความมันสฺ์เท่านั้น ตัวอย่างเช่นฉากระเบิดแต่ละอันแล้วสมจริงและที่ต้องป รบมือชมคือการถ่ายภาพของ Stefan Czapsky และการตัดต่อของ Chris Lebenzon กับ Bob Badami ที่เก็บรายละเอียดของทั้งฉากและ Effect ไว้ได้อย่างยอดเยี่ยมและครบถ้วนทางอารมณ์ คือไม่ได้สักแต่ถ่ายๆๆๆ เท่านั้นนะครับ มุมกล้องมันดูสวยเอามากๆ ไม่ดีคำว่าสั่วเลยอ้ะ เหล่าดารานั้นก็ยังคงโดดเด่นเช่นเดิม


    แนวหนัง แอ๊คชั่น – แฟนตาซีอย่างยิ่ง หลังจาก 2 ภาคแรกโด่งดังกันสุดๆ การไม่สร้างภาค 3 ย่อมเป็นไปไม่ได้ ซึ่งตอนแรกหนังก็จะใช้ทีมงานเดิมครับ นั่นคือผู้กำกับ Tim Burton และ Michael Keaton ก็ยังคงเป็นแบทแมน ศัตรูในภาคนี้หลักๆ ก็คือเดอะ ริดเลอร์ หรือ มนุษย์เจ้าปัญหา ซึ่งได้รับการวางตัวไว้ว่าน่าจะเป็น Robin Williams และนางเอกของเรื่องซึ่งเป็นจิตแพทย์สาว ดร. เชส เมอริเดียนก็ได้ Rene Russo มารับบทไป นอกจากนี้ทาง Warner Bros. ก็ยืนยันว่ายังไงๆ โรบินก็ต้องมาโผล่ในภาคนี้ แต่แล้วทุกอย่างที่ว่าแน่นอนกลับกลายเป็นความไม่แน่น อนไปในบัดดลเมื่อพี่ Tim แกปฏิเสธไม่กำกับภาค 3 ของหนังชุดนี้! จะว่าไปก็ไม่มีข่าวที่ชี้ชัดๆ ลงไปได้เลยว่าทำไมพี่ Tim แกถึงไม่ยอมกำกับ เราๆ ท่านๆ ก็ได้แต่นั่งเดาไปเรื่อย ความเป็นไปได้ก็มีหลายอย่าง ที่สำคัญๆ ก็หนีไม่พ้นโทนหนังของ Batman 2 ตอนแรกที่ยิ่งทำก็ยิ่งทึมและยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขนาดผู้ปกครองบางคนออกมาต่อต้านหาว่าหนังจริงจั งและรุนแรงเกินเหตุ ไม่เหมาะสมสำหรับเด็กๆ อีกทั้งรายได้จากการขายของเล่นจากหนัง Batman Returns ก็ต่ำมากจนน่าผิดหวัง และที่หนักไปกว่านั้นคือ พี่ Tim แกยืนกรานว่าถ้าทำภาคหน้า เรื่องความทึมและความโรคจิตจะทวีคูณขึ้นไปอีก (ซึ่งบอกตรงๆ ว่าผมโคตรอยากดูเลยครับ มันต้องมันส์แน่ๆ อ้ะ) แต่ทาง Warner ไม่ยอมท่าเดียว กลัวคนดูและรายได้จะหดหายลงไปกว่านี้ ก็เลยเกิดความขัดแย้งขึ้น และความขัดแย้งระหว่างพี่ Tim กับ Warner ดูเหมือนจะมาถึงจุดสูงสุดก็อีตอนที่พี่ Tim แกจะทำหนังเรื่อง Ed Wood นี่แหละ


    แนวหนัง แอ๊คชั่น – แฟนตาซีแบบการ์ตูนชัดๆ แล้ว Batman ภาค 4 ก็สร้างกันออกมาโดยที่อุปสรรคไม่มากมายเท่าตอนสร้างภ าค 3 เรื่องใหญ่ๆ เลยก็คือการที่ Vla Kilmer ตบเท้าออกจากโปรเจคท์ไม่ยอมมาเล่นเป็นแบทแมนอีก สาเหตุใหญ่ๆ ก็เพราะพี่แกกับผู้กำกับ Joel Schumacher กินเกาเหลาซึ่งกันและกัน (ไม่กินเส้น) แต่ไม่นานทีมงานก็สามารถหาดาราเข้ามาแทนที่ นั่นคือ George Clooney ที่กำลังดังสุดๆ จากซีรี่ส์ ER ส่วนบทมิสเตอร์ ฟรีซ วายร้ายของเรื่องตอนแรกก็ได้รับการวางตัวให้ Patrick Stewart หรือกัปตันพิคาร์ดแห่งหนังชุด Star Trek: The Next Generation ให้มาเล่น แต่แล้วคนที่มีภาษีมากกว่าอย่าง Arnold Schwarzenegger ก็มาคว้าไป (ด้วยค่าตัว 25 ล้าน!) ส่วนตัวร้ายอีกคนอย่างพอยซั่นไอวี่ ก็มีหลายรายมาอยู่ในลิสต์เช่นกัน Julia Roberts, Sharon Stone และ Demi Moore แต่คนทีได้ไปก็คือ Uma Thurman เห็นมั้ยครับ อะไรๆ มันง่ายไปหมด … จนหนังออกมาง่ายไม่แพ้กัน ภาคนี้แบทแมน (Clooney) และโรบิน (Chris O’Donnell) ต้องรับมือกับวายร้ายมิสเตอร์ฟรีซ (Schwarzenegger) ผู้มีความเย็นเป็นอาวุธ กับพอยซั่นไอวี่ (Thurman) สาวสารพัดพิษ ที่ต้องการจะกวาดล้างนครก็อตแธมให้พินาศสิ้น ทำให้สองหนุ่มนักปราบอธรรมต้องขัดขวาง รวมไปถึงภาคนี้ยังเป็นการเปิดตัว แบทเกิร์ล (Alicia Silverstone) อีกด้วย คือ … แบบว่า … ไม่น่าเลย โธ่ๆๆๆ ไม่น่าเลยพี่ Joel Schumacher ตอนพี่แกกำกับภาคก่อน ยังพอทำเนา มาภาคนี้จะเนาจะสอยก็ไม่ไหวแล้วล่ะครับ โอเค หนังมันดูได้ ไม่ถึงกับเลวร้าย แต่ความเข้มข้นสู้ 2 ภาคแรกไม่ได้เลย มิหนำซ้ำการเปิดตัวแบทเกิร์ลก็ยังเป็นการทำร้ายหนังม ากกว่า เพราะตัวละครมันเยอะเกินไป ความเด่นของแต่ละคนเลยโดนทอนลงไปมาก แล้วหนังก็ลงสูตรจนคนดูจับทางได้หมด ไม่มีอะไรแปลกใหม่อะไรเลย บทหนังก็อ่อนโยนสุดๆ ผมเข้าใจครับว่าพี่อยากทำหนังให้ทุกคนในครอบครับดู แต่ก็ไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้อ้ะ คืออะไรๆ มันจะง่ายๆ ไปหมดเลยเหรอครับ บทไม่มี เนือ้เรื่องง่ายๆ ไม่มีอะไรให้ลุ้น โอเค Effect ดี ฉากอลังการแต่มันไม่มีอะไรให้น่าติดตามอีกแล้วน่ะ ปมระหว่างแบทแมนกับโรบินก็ผิวเผินสุดๆ อีกทั้งบทของบรูซ เวย์นในภาคนี้ ก็นิ่งสนิทไร้มิติไปอีกคน ทั้งๆ ที่พี่ George แกเป็นนักแสดงขายฝีมือนะครับ แต่บทไม่เปิดโอกาสเลย แค่ออกมานิ่งๆ ส่ายหัวไปมาเท่านั้นเอง เสียดายนะเนี่ย คนอื่นๆ ก็เป็นตัวการ์ตูนหมดเรียบครับ เรื่องราวก็เดินแบบสูตรซะยิ่งกว่าสูตร จนไม่มีอะไรให้พูดถึงอีกแล้ว ก็สมควรครับที่หนังจะล้มเหลวทางรายได้อย่างหนัก จนในที่สุดแบทแมนต้องกลับมาในแบบ Begins (แต่ก็เป็นเรื่องดีครับ ถ้าจะว่าไปแล้วน่ะ) อีกอย่างที่น่าเสียดายคือ ภาคนี้ก็ยังมีอะไรดีๆอยู่บ้าง อย่างปมของอัลเฟรด (Michael Gough) พ่อบ้านผู้ซื่อสัตย์ที่ตอนนี้กำลังป่วยและอาจจะตายได ้ แต่นั่นดูเหมือนว่าจะกลายเป็นเพียงปมเดียวที่น่าพูดถ ึงอยู่บ้าง เพราะนอกนั้นก็ไม่มีอะไรเลย และปมนี้ก็เล่นกันอย่างเฉยๆ น่ะ แค่มีไว้ประดับมากกว่าส่วนลุง Michael Gough ก็ยังแสดงได้ดีตามเคย เสียดายครับที่มันไม่เล่นให้หนักหนากว่านี้ดาราจัดว่ าเรื่อยๆ นะ Schwarzenegger กับ Thurman และ O’Donnell จัดว่าพอรับได้ แต่ที่เสียหายหลายล้านก็คือ สาวน้อย Alicia Silverstone ของผม โอยสมัยโน้นเจ๊แกน่ารักสุดยอดอ้ะ แต่ทำไมครับ มาเรื่องนี้คุณเจ๊เธอถึงได้บวมขึ้นปานฉะนี้ อีกทั้งบทแบทเกิร์ลยังออกจะเป็นส่วนเกินของหนังด้วยเ ลยไปกันใหญ่ละครับ สรุปแล้วกันครับ ว่าหนังค่อนข้างน่าผิดหวังไปบ้าง จะดูเอามันส์น่ะได้ครับ แต่ต้องทำใจหน่อยน่ะ สองดาวพอครับ


    ภาคนี้เรื่องราวก็ย้อนไปที่จุดเริ่มต้นครับ ตั้งแต่สมัย บรูซ เวย์น (Christian Bale) ยังเป็นหนุ่ม และยังคงจมอยู่กับอดีตที่พ่อแม่ของเขาถูกฆ่าตายต่อหน ้า แล้วเขาก็ได้พบกับ เฮนรี่ ดูคาร์ด (Liam Neeson) ซึ่งเขาผู้นี้นี่แหละที่เป็นผู้ฝึกสอนให้ บรูซ มีพิษสงเพิ่มขึ้น แล้วทีนี้พอเขาได้กลับมายังเมืองก็อตแธม ซึ่งเวลานี้เมืองกำลังเน่าเฟะอย่างมหาศาล ด้วยฝีมือของเจ้าพ่ออย่างคาไมน์ ฟัลโคเน่ (Tom Wilkinson) บรูซเลยทำการแปลงตนเองเป็น แบทแมน เพื่อกอบกู้เมืองก็อตแธมของเขาให้กลับมาสู่ความสงบสุ ขให้จงได้ เอาล่ะ มาชำแหละความรู้สึกกันเลยนะครับ ถ้าถามว่าหนังดีมั้ย ก็ต้องตอบว่าดีเลยล่ะครับ เพราะส่วนต่างๆ มันลงตัวมาก เริ่มจากทีมนักแสดงที่ผมขอยกให้เป็นสุดยอดทีมนักแสดง ที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งปี เริ่มจาก Bale ที่รับบท บรูซได้อย่างสนิทใจครับ พี่แกดูเครียด จริงจัง จมอยู่กับความทุกข์ แต่พอถึงเวลาที่เขาได้ความมั่นใจกลับมานี่แววตา ท่าทางมันเปลี่ยนไปอีกคนครับ เขาทำได้ แล้วที่ผมนับถือสุดๆ คือตอนที่เขาต้องแกล้งทำท่าเป็นเศรษฐีเพลย์บอย ดูแล้วพี่แกเป็นเพลย์บอยจริงๆ แต่ในแววตามันแฝงความเศร้าอย่างชัดเจนเลยครับ ถ้าไม่แน่จริง ทำไม่ได้ขนาดนี้หรอกนะฮะ คนอื่นก็ทั้งนั้น ไม่ว่าจะ Neeson, Wilkinson, Rutger Hauer ในบทริชาร์ด เอิร์ล ผู้บริหารเวย์น เอนเตอร์ไพรซ์ที่คิดไม่ซื่อ, Michael Caine มาเป็น อัลเฟรด ได้อย่างโคตรน่ารัก, Morgan Freeman มาเป็นลูเซียส ฟ็อกซ์ คนผู้เดียวที่บรูซไว้ใจได้ในเวย์น เอนเตอร์ไพรซ์และเขาคนนี้นี่แหละที่เป็นคนประดิษฐ์สิ ่งของสารพัดให้บรูซได้เอาไปใช้ตอนเป็นแบทแมน Freeman เองก็ช่วยเพิ่มอารมณ์ขันและความสนุกให้กับหนังได้ไม่ น้อย สำหรับบทจ่ากอร์ดอน (ภาคนี้ยังเป็นจ่าอยู่ครับ) ก็ได้ Gary Oldman มาเล่น ซึ่งฝีมือรายนี้ไม่มีที่ติมาแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ พอมาเรื่องนี้เขาไม่ใช่แค่เล่นดีเท่านั้น แต่เขายังสร้างบุคลิกเจ๋งๆ ให้กับตัวละครนี้เอาไว้เพียบ เป็นอะไรต้องไปดูเองครับ บอกได้แต่ว่า พี่ Gary แกขโมยซีนไปได้หลายช่วงเลยแหละ, Cillian Murphy ก็มาแสดงเป็น ดร.โจนาธาน เครน หรือที่แฟนการ์ตูนรู้จักดีในนามของ สแกโครว์ จอมวายร้ายที่มาพร้อมพลังหลอนประสาท ซึ่ง Murphy ทำได้อย่างเยี่ยมสุดๆ ส่วน Ken Watanabe ที่แม้จะโผล่ไม่นานแต่ก็โอเครับ ไม่เด่นแต่ก็ไม่เลว ถือซะว่าเป็นบทรับเชิญน่ะ


    เปิดเรื่องด้วยการแนะนำให้ผู้ชมรู้จักตัวละครโจ๊กเกอ ร์ อาชญากรผู้ไร้ซึ่งความต้องการใด ๆ สิ่งที่เค้าจะทำคือสิ่งที่ไม่ต้องการเหตุและผล ไม่จำเป็นต้องมีการวางแผน สิ่งเดียวที่เค้าปรารถนาคือการบอกให้แบทแมนรับรู้ว่า ความดีหรือความชั่วใน โลกนี้นั้นไม่มีอยู่จริง ความจริงแท้ที่มนุษย์ทุกคนมีอยู่ในตัวคือ “สัญชาตญาณการเอาตัวรอด” เท่านั้น ความโกลาหล (Chaos) ที่ผู้ชมหลาย ๆ ท่านเข้าใจว่าเป็นวัตถุประสงค์ที่โจกเกอร์ต้องการจึง หาใช่วัตถุประสงค์ที่แท้จริงแต่อย่างใด แต่เป็นเครื่องมือในการพิสูจน์ความเชื่อดังกล่าวเท่า นั้น ดังนั้น การจะกล่าวว่าโจ๊กเกอร์คือวายร้ายที่เป็นคู่ต่อสู้ขอ งแบทแมนจึงอาจจะไม่ถูกต้องนัก เนื่องจากสิ่งที่เค้าต้องการไม่ใช่การยึดครองโลกหรือ หาประโยชน์จากการกระทำโดยตรง หากแต่โจกเกอร์เปรียบเสมือนตัวแทนแนวคิดอีกด้านหนึ่ง เท่านั้น ในภาค Batman Begins นั้น แบทแมนสามารถปราบมาเฟียผู้ทรงอิทธิพลอย่างคาร์ไมน์ ฟัลโคเน่ และราส์ อัล กูล ผู้ที่ต้องการนำความล่มสลายมาสู่มหานครก็อธแธมอันเนื ่องมาจากความแหลกเหลวที่ปรากฎในสังคมเมือง แบทแมนได้ต่อสู้กับความคิดดังกล่าวผ่านศรัทธาที่ว่า ด้วยสัญลักษณ์ที่เค้าสร้างขึ้นผนวกกับความดีที่มีอยู ่จริงในโลกของแบบ (World of Form Theory Plato) จะสามารถเปลี่ยนให้มหานครก็อธแธมเป็นเมืองทีปลอดอาชญ ากรรม การคอร์รัปชั่น ยาเสพย์ติด และหลุดออกจากวังวนแห่งความเลวร้ายได้ โดยหนังได้ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า เมื่อแบทแมนได้ยกระดับการต่อสู้ขึ้นแล้ว สิ่งที่น่ากลัวกว่าเดิมก็กำลังจะปรากฎ เมื่อสิ่งที่แบทแมนกำลังทำคือการก้าวล้ำเส้นความยุติ ธรรมตามระบบแล้ว จึงเกิดคำถามขึ้นว่า “อะไรคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา ???” …หากผู้อ่านท่านใดเคยผ่านตากับหนังเรื่องดังกล่าวมาแ ล้ว จะพบว่าหนังแบทแมนตอนนี้สามารถที่จะเล่าเรื่องได้อย่ างเฉียบคมและถือว่าอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงมากที่ส ุด เมื่อประเด็นเรื่องความดี – ความชั่ว ที่หนังสื่อออกมานั้น ไม่มีเส้นแบ่งที่ชัดเจน ไม่มีสีขาว – สีดำ แตกต่างจากภาพซูเปอร์แมนผู้แสนดี และไม่มีใยแมงมุมเกาะไต่ผนังตึกปราบเหล่าร้ายอย่างสไ ปเดอร์แมน แต่เพียงสิ่งเดียวที่แบทแมนมีคือเบื้องหลังความเป็นม นุษย์ปุถุชนธรรมดาในคราบมหาเศรษฐีบรูซ เวย์น เรื่องย่อสั้น ๆ จากความยาวระยะเวลา 2 ชั่วโมง 32 นาที ของภาพยนตร์ The Dark Knight ซึ่งออกฉายเมื่อปี 2008 ภาพยนตร์แฟรนไชส์ Batman ที่โด่งดัง โดยนับเป็นตอนที่ 2 นับแต่มีการเริ่มต้นเล่าเรื่องใหม่ต่อเนื่องจาก Batman Begins ผลงานกำกับของคริสโตเฟอร์ โนแลน “แบทเมนวางเดิมพันเพิ่มขึ้นในการต่อสู้กับอาชญากรรม ด้วยความช่วยเหลือของผู้หมวดจิม กอร์ดอน และอัยการเขตฮาร์วีย์ เดนท์ แบทแมนเริ่มทำลายล้างกลุ่มอาชญากรที่ยังคงระบาดไปทั่ วท้องถนน การร่วมแรงของพวกเขาดูจะเป็นผลดี แต่ต่อมาไม่นานพวกเขากลับพบว่ากำลังตกเป็นเหยื่อของค วามวุ่นวายที่ถูกสร้าง ขึ้นโดยเจ้าแห่งอาชญากรสมองใส ซึ่งชาวเมืองก็อธแธมที่หวาดผวารู้จักกันดีในนามของโจ ๊กเกอร์”



    ช่วงนี้กำลังเป็นที่พูดถึงกันเป็นอย่างมาก ทีมงาน toptenthailand ขอจัด 10 อันดับเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ Batman The Dark Knight Rises ของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ที่ปลุกปั้นมาร่วมสิบปี ให้จบอย่างยิ่งใหญ่ ในภาคนี้มาให้ได้อ่านกัน คนที่ดูภาพยนตร์มาแล้วก็อ่านได้นะ จะมีเรื่องใดบ้าง ลองเข้ามาชมกันครับ มาเริ่มต้นกันด้วยอันดับที่ 10 กับ toptenthailand กันครับ : เมื่อ คริสโตเฟอร์ โนแลน ได้เปิดฉาก Batman ไตรภาคใหม่ในปี 2005 ด้วย Batman Begins ภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่ที่สวมผ้าคลุมออกปราบปรามเหล่า ร้ายในยามวิกาลนี้ ไม่เพียงจะสร้างมาตรฐานใหม่่ให้กับภาพยนตร์ที่สร้างจ ากหนังสือการ์ตูนแนวซูเปอร์ฮีโร่ จนได้รับคำวิจารณ์ด้านดีมากมายเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นภาพยนต์ที่ทรงอิทธิพลให้หนังซูเปอร์ฮี โร่เรื่องอื่นหรือภาพยนตร์ที่มีภาคต่อเรื่องอื่นๆ ได้เจริญรอยตามในแง่การวางทิศทางให้ออกมาดูสมจริง จับต้องได้ เนื้อหาอิงกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริง และยังถือได้เป็นต้นตำรับของคำว่า “รีบูท” (reboot) ที่ เป็นการสร้างใหม่ ด้วยการปรับเปลี่ยนเส้นเรื่อง และโทนเรื่องแบบที่ ไม่่ให้ซ้ำกับฉบับก่อนๆ ราวกับยกเครื่องให้ใหม่หมด แต่ยังคงใจความสำคัญของเนื้อเรื่องไว้ ไม่ให้เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะผ่านไปอีกกี่ปี Batman ไตรภาคของโนแลนก็จะถือได้ว่าเป็นภาพยนตร์ไตรภาคที่มี หลายๆคนจดจำไว้ในใจอย่างแน่นอน อันดับที่ 9 ได้แก่ เนื้อเรื่องของถูกเริ่มคิดมาจากตอนจบก่อนนี่เอง : ใน ปี 2008 หลังจากภาพยนตร์เรื่อง The Dark Knight ได้เปิดตัวต่อสายตาคนทั่วโลก มันกลายเป็นอะไรที่สุดยอดเกินกว่าทุกความคาดหวัง มันไม่ได้แค่กลายเป็นภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งป ีนั้นเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่ง ในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์เลยทีเดียว และก็เป็นในปีนั้นเองที่ คริสโตเฟอร์ โนแลน และผู้เขียนบทร่วม เดวิด เอส โกเยอร์ ซึ่งเคยเขียนบทร่วมกันครั้งแรกใน Batman Begins ได้นั่งลงพูดคุยถึงความเป็นไปได้ในการสร้าง Batman ภาค 3 ซึ่งโนแลนได้คิดเอาไว้แล้วว่าจะให้เป็นภาค 3 เป็นภาคสุดท้าย แม้ในตอนนั้นพวกเขาทั้งสองคน จะยังคิดกันไม่ออกว่าจะทำให้ออกมาดีกว่าภาคล่าสุดของ พวกเขานี้ได้ยังไง แต่ในวันที่พวกเขานั่งพูดคุยกันนั้นได้มีไอเดียบางอย ่างเกิดขึ้น ไอเดียที่ว่านั้นไม่ใช่ไอเดียว่าภาค 3 ควรจะเริ่มเรื่องยังไง ไม่ใช่พล็อต ไม่ใช่ว่าควรใช้ผู้ร้ายตัวไหนหรือมีผู้ร้ายกี่ตัวดี แต่เป็นไอเดียเกี่ยวกับฉากจบของภาพยนตร์ภาค 3 เป็นไอเดียเกี่ยวกับภาพสุดท้ายของไตรภาคอันยิ่งใหญ่น ี้ หลังจากโกเยอร์บอกโนแลนว่าภาพตอนจบของภาพยนตร์ที่เขา อยากเห็นเป็นยังไงแล้ว โนแลนก็ยิ้ม “ฉากสุดท้ายของหนัง The Dark Knight Rises เป็นภาพเดียวกับในหัวพวกเราตอนนั้นเป๊ะ” โกเยอร์บอกกับนิตยสาร Empire ณ ตอนนี้ หลังจากผ่านมาแล้ว 4 ปี “เราไม่ได้เปลี่ยนมันแม้แต่นิด เราสองคนรู้เต็มอกว่าหลังจากนั่งดูเรื่องราวตั้งแต่ต ้น เรื่อยมาจนมันเริ่มขมวดเกลียวแน่น แล้วก็ได้เห็นฉากนี้เป็นฉากสุดท้ายในตอนจบจะเป็นอะไร ที่สุดยอดมาก ตอนที่ผมได้ดูนะ ผมรู้สึกว่ามีบางอย่างขึ้นมาจุกที่คอหอยเลย”



    Batman & Robin 1997 BluRay 720p DTS x264-CtHts.mkv - 3.6 GB
    Batman 1989 BluRay 720p DTS x264-CtHts.mkv - 3.7 GB
    Batman Forever 1995 BluRay 720p DTS x264-CtHts.mkv - 3.3 GB
    Batman Returns 1992 BluRay 720p DTS x264-CtHts.mkv - 3.8 GB
    Batman Begins (2005).mkv - 2.2 GB
    The Dark Knight (2008).mkv - 2.6 GB
    The Dark Knight Rises (2012).mkv - 3.7 GB

  2. The Following User Says Thank You to Duckload.us For This Useful Post:

    wakata (07-30-2017)

  3. #2
    Junior Member
    สมัครเมื่อ
    Jun 2012
    โพสต์
    14
    Thanks
    10
    Thanked 0 Times in 0 Posts
    ขอบคุณครับ

  4. #3
    Senior Member
    สมัครเมื่อ
    Sep 2013
    โพสต์
    1,076
    Thanks
    0
    Thanked 1 Time in 1 Post
    ขอบคุณมากๆเลยครับ

+ ตอบกลับกระทู้

ข้อมูลกระทู้

Users Browsing this Thread

ในขณะนี้มี 1 ท่านดูกระทู้อยู่. (0 สมาชิกและ 1 ผู้เยี่ยมชม)

     

กฎการโพสต์ข้อความ

  • ท่าน ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
  • ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
  • ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขข้อความโพสต์ได้
  • BB code สถานะ เปิด
  • Smilies สถานะ เปิด
  • [IMG] สถานะ เปิด
  • HTML สถานะ ปิด