นี่คือชั่วโมงที่ 11 ของมนุษยชาติ: เสี้ยวเวลาสุดท้ายที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงสาเหตุ และการเร่งทำลายระบบนิเวศของโลก นักแสดงชื่อดัง "ลีโอนาร์โด ดิคาพรีโอ" อำนวยการสร้าง และเป็นผู้บรรยายถึงวิกฤติการณ์ฉุกเฉิน ที่เหลียวมองว่าเราเคยอยู่กันอย่างไร เราเดินไปทิศทางไหน และที่สำคัญเราจะแก้ไขได้อย่างไร พบแนวทางของนักคิดชั้นนำ อาทิ มิคาเอล โกบาชอฟ, สตีเฟน ฮอวก์กิ้ง, วิลเลี่ยม แม็คโดนาฟ และอีกมากมาย ที่จะเผยถึงวิกฤติ ณ ปัจจุบันของทุกชีวิตบนโลก สัมผัสภาพอันน่าวิตกของภัยธรรมชาติทั้งน้ำท่วม ไฟป่า พายุเฮอร์ริเคน การพังทลายของภูเขาน้ำแข็ง และ กองขยะที่เพิ่มพูน พร้อมภาพสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันกระตุ้นเตือนให้ เราลงมือเสียแต่วันนี้ เราจะหันมาใช้นวัตกรรมใหม่ และหยุดพฤติกรรมทำลายทรัพยากรได้หรือยัง? โลกกำลังป่วยหนัก แต่เรามีทางออกเพื่อเยียวยาดาวเคราะห์ดวงนี้ให้ยังคง เป็นบ้านของคนรุ่นต่อไป ในอนาคต
The 11th Hour : ชั่วโมงสุดท้ายของมนุษยชาติ
หากโลกมีปฏิทินที่เริ่มต้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม
ประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติพึ่งปรากฏขึ้นในชั่วโมง สุดท้ายของวันที่ 31 ธันวาคม
...15 นาทีก่อนเที่ยงคืน...
The 11th Hour : ชั่วโมงสุดท้ายของมนุษยชาติ
posted on 16 Apr 2008 03:12 by chubby in Environment-Review, Movie-Review
.
หากโลกมีปฏิทินที่เริ่มต้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม
ประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติพึ่งปรากฏขึ้นในชั่วโมง สุดท้ายของวันที่ 31 ธันวาคม
...15 นาทีก่อนเที่ยงคืน...
.
.
ดูเผินๆ แล้ว The 11th Hour เป็นภาพยนตร์เชิงสารคดีในแนวเดียวกับ An Inconvenient Truth
ที่กล่าวถึงวิกฤติการณ์สิ่งแวดล้อมที่ดาวเคราะห์โลก. ..หรือจริงๆ แล้วคือเผ่าพันธุ์มนุษย์...กำลังเผชิญหน้าอยู่
ข้อแตกต่างที่ชัดเจน คือ An Inconvenient Truth นำเสนอวิกฤติการณ์โลกร้อนเป็นหลักเพียงเรื่องเดียว
และมีนาย อัล กอร์ อดีตผู้แข่งขันชิงตำแหน่งเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นผู้ดำเนินเรื่องหลักเพียงคนเดียว
จึงง่ายต่อการคัดค้านทฤษฎีโลกร้อนรวมไปถึงการโจมตีเร ื่องส่วนตัวอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับโลกร้อนแต่อย่างใด
ถึงแม้ An Inconvenient Truth จะมีจุดอ่อนอยู่บ้างในบางทฤษฎี หรือมีการนำเสนอที่ดูร้ายแรงเกินจริง
แต่จากกรณีที่ฝ่ายตรงข้ามนำชื่อ รีเวลล์ บุคคลแรกๆ ของโลกที่ที่ออกมาเตือนถึงอันตรายของสภาวะโลกร้อน
(และเป็นอาจารย์ของ อัล กอร์ ที่ฮาวาร์ด) มาโจมตี อัล กอร์ เสียเอง ก็ไม่ทำให้รู้สึกน่าเชื่อถือกว่ากันเท่าไร
.
เพื่อลดทอนอุปสรรค ปัญหาและความขัดแย้งดังตัวอย่างที่เกิดขึ้นใน An Inconvenient Truth ออกไป
The 11th Hour จึงพูดถึงประเด็นโลกร้อนเพียงไม่กี่นาที และให้ความสำคัญเพียงตัวแปรตัวหนึ่งเท่านั้น
โดยหลักการที่มีการกล่าวถึงมากที่สุดในหนังคือ เรื่องพลังงานแสงอาทิตย์กับห่วงโซ่พลังงาน เท่านั้นเองครับ
นักเรียนวิชาสิ่งแวดล้อมคงจะพอจำได้ว่า นี่เป็นทฤษฎีพื้นฐานที่สุด ที่สอนในเรื่องระบบนิเวศวิทยาเลยทีเดียว
ดังนั้นถ้าท่านเห็นใครเอาทฤษฎีโลกเย็นมาพูดล่ะก็แสดง ว่าไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้จริงๆ และนั่งเทียนเขียน 100%
กับดักขั้นที่สอง การใช้ดารานักแสดงอย่าง ลีโอนาโด ดิคาปริโอ (จากเรื่อง Titanic ฯลฯ) ในการโปรโมต
ซึ่งคาดว่าสามารถหลอกล่อกลุ่มบุคคลที่ชอบออกมาโจมตีเ รื่องส่วนตัวได้อย่างสบาย ไม่แพ้กรณีของ อัล กอร์
แต่คนที่ได้ดูจริงๆ จะเห็นว่าเขาโผล่มาแค่ตอนเปลี่ยนบทเท่านั้น โผล่หัวน้อยกว่าแขกรับเชิญหลายรายเสียอีก
.
ถ้าเช่นนั้น The 11th Hour พูดถึงเรื่องอะไร ?
.
ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้พูดถึง วิกฤติปัญหาสิ่งแวดล้อมโลก ซึ่งเกิดขึ้นจากการวิถีการดำรงชีวิตของมนุษย์เอง
โดยเริ่มต้นจากสิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างไปจากสิ่งมี ชีวิตชนิดอื่น ความสามารถในการพัฒนาเครื่องมือใช้งาน
ตามด้วยหลักการพื้นฐานที่สุดของระบบนิเวศวิทยาเรื่อง ห่วงโซ่พลังงาน (และไม่เพิ่มอะไรให้วุ่นวายไปกว่านี้)
เพื่ออธิบายว่า น้ำมันและก๊าซธรรมชาติเป็นแหล่งพลังงานที่มีต้นตอมาจ ากแสงอาทิตย์รูปแบบหนึ่งได้อย่างไร
จุดเปลี่ยนจากการพัฒนาเครื่องมือที่ใช้คาร์บอนพลังงา นสูงเป็นเชื้อเพลิงในการเพิ่มอัตราการผลิต, การขนส่ง
กำเนิดแนวความคิดตีค่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ใช่มนุษย ์ เป็นแหล่งทรัพยากร (Resource) ที่ใช้ไม่มีวันหมด
สร้างวิถีชีวิตที่ตัดขาดจากธรรมชาติมากขึ้นเรื่อยๆ จนมนุษย์ทุกวันนี้แทบไม่ต่างจากนักบินที่ใช้ชีวิตในอ วกาศ
สามารถจดจำชื่อสินค้าในโฆษณาได้เป็นร้อยชนิด แต่กลับบอกชื่อต้นไม้ในท้องถิ่นของตัวเองได้ไม่ถึงสิ บชนิด
.
แขกรับเชิญในภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ก็ไม่ธรรมดาครับ ตั้งแต่สารพัดองค์กร NGO ที่บ้านเราไม่เคยได้ยิน
อาจารย์มหาวิทยาลัย นักคิดนักเขียน อดีตผู้อำนวยการ CIA อดีตประธานาธิบดี ผู้เชี่ยวชาญหลายสาขาวิชา
นักสมุทรศาสตร์ ดาราศาสตร์ บาทหลวง นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ เจ้าหน้าที่ทางการเงิน นักเศรษฐศาสตร์
นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังอย่าง สตีเฟ่น ฮอว์คิง (แฟนพันธุ์แท้คงเข้าใจดีว่าทำไมเขาจึงมาได้แต่เสียงก ับภาพนิ่ง)
และผู้ชำนาญการเฉพาะด้านอีกมากมายหลายแขนงเล่นเอาผมอ ึ้งไปเลยครับว่ารวบรวมมาไว้ด้วยกันได้อย่างไร
แต่ การมีผู้เชี่ยวชาญมาเล่าเรื่องมากไป อาจเป็นจุดที่ทำให้เรื่องนี้ดูน่าเบื่อกว่า An Inconvenient Truth
ทว่าวิถีชีวิตของพวกเราดำเนินใน The 11th Hour นั้น มันยิ่งกว่า An Incovenient Truth เสียอีก
วิถีชีวิตที่ล้างผลาญทรัพยากรอย่างไร้ประสิทธิภาพ และผลิตของเสียมากขนาดนี้ มันยากที่จะหักล้างได้ครับ
.
.
"คนพูดว่าทำไมนักการเมืองไม่ตอบสนองต่อวิกฤติทางอากา ศ ของโลก
ทำไมล่ะ ก็เพราะพวกเขาตอบสนองต่ออำนาจที่เหนือกว่า
และตอนนี้อำนาจที่เหนือกว่าก็คืออุตสาหกรรมน้ำมันฟอส ซิล"
.
มิเชล เกล็อปเตอร์
ประธานรีดีไฟน์นิ่ง โปรเกรส
.
.
ตอนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ ริค ฟิลซ์
อดีตสมาชิกอาวุโสโครงการวิทยาศาสตร์เรื่องการเปลี่ยน แปลงทางอากาศของสหรัฐอเมริกา
.
พิธีกร : คุณรับผิดชอบในการตรวจแก้ไขต้นฉบับ "Our Changing Planet"
...............คุณส่งร่างไปที่ทำเนียบขาว, เกิดอะไรขึ้นครับ ?
The 11th Hour : ชั่วโมงสุดท้ายของมนุษยชาติ
posted on 16 Apr 2008 03:12 by chubby in Environment-Review, Movie-Review
.
หากโลกมีปฏิทินที่เริ่มต้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม
ประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติพึ่งปรากฏขึ้นในชั่วโมง สุดท้ายของวันที่ 31 ธันวาคม
...15 นาทีก่อนเที่ยงคืน...
.
.
ดูเผินๆ แล้ว The 11th Hour เป็นภาพยนตร์เชิงสารคดีในแนวเดียวกับ An Inconvenient Truth
ที่กล่าวถึงวิกฤติการณ์สิ่งแวดล้อมที่ดาวเคราะห์โลก. ..หรือจริงๆ แล้วคือเผ่าพันธุ์มนุษย์...กำลังเผชิญหน้าอยู่
ข้อแตกต่างที่ชัดเจน คือ An Inconvenient Truth นำเสนอวิกฤติการณ์โลกร้อนเป็นหลักเพียงเรื่องเดียว
และมีนาย อัล กอร์ อดีตผู้แข่งขันชิงตำแหน่งเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นผู้ดำเนินเรื่องหลักเพียงคนเดียว
จึงง่ายต่อการคัดค้านทฤษฎีโลกร้อนรวมไปถึงการโจมตีเร ื่องส่วนตัวอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับโลกร้อนแต่อย่างใด
ถึงแม้ An Inconvenient Truth จะมีจุดอ่อนอยู่บ้างในบางทฤษฎี หรือมีการนำเสนอที่ดูร้ายแรงเกินจริง
แต่จากกรณีที่ฝ่ายตรงข้ามนำชื่อ รีเวลล์ บุคคลแรกๆ ของโลกที่ที่ออกมาเตือนถึงอันตรายของสภาวะโลกร้อน
(และเป็นอาจารย์ของ อัล กอร์ ที่ฮาวาร์ด) มาโจมตี อัล กอร์ เสียเอง ก็ไม่ทำให้รู้สึกน่าเชื่อถือกว่ากันเท่าไร
.
เพื่อลดทอนอุปสรรค ปัญหาและความขัดแย้งดังตัวอย่างที่เกิดขึ้นใน An Inconvenient Truth ออกไป
The 11th Hour จึงพูดถึงประเด็นโลกร้อนเพียงไม่กี่นาที และให้ความสำคัญเพียงตัวแปรตัวหนึ่งเท่านั้น
โดยหลักการที่มีการกล่าวถึงมากที่สุดในหนังคือ เรื่องพลังงานแสงอาทิตย์กับห่วงโซ่พลังงาน เท่านั้นเองครับ
นักเรียนวิชาสิ่งแวดล้อมคงจะพอจำได้ว่า นี่เป็นทฤษฎีพื้นฐานที่สุด ที่สอนในเรื่องระบบนิเวศวิทยาเลยทีเดียว
ดังนั้นถ้าท่านเห็นใครเอาทฤษฎีโลกเย็นมาพูดล่ะก็แสดง ว่าไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้จริงๆ และนั่งเทียนเขียน 100%
กับดักขั้นที่สอง การใช้ดารานักแสดงอย่าง ลีโอนาโด ดิคาปริโอ (จากเรื่อง Titanic ฯลฯ) ในการโปรโมต
ซึ่งคาดว่าสามารถหลอกล่อกลุ่มบุคคลที่ชอบออกมาโจมตีเ รื่องส่วนตัวได้อย่างสบาย ไม่แพ้กรณีของ อัล กอร์
แต่คนที่ได้ดูจริงๆ จะเห็นว่าเขาโผล่มาแค่ตอนเปลี่ยนบทเท่านั้น โผล่หัวน้อยกว่าแขกรับเชิญหลายรายเสียอีก
.
ถ้าเช่นนั้น The 11th Hour พูดถึงเรื่องอะไร ?
.
ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้พูดถึง วิกฤติปัญหาสิ่งแวดล้อมโลก ซึ่งเกิดขึ้นจากการวิถีการดำรงชีวิตของมนุษย์เอง
โดยเริ่มต้นจากสิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างไปจากสิ่งมี ชีวิตชนิดอื่น ความสามารถในการพัฒนาเครื่องมือใช้งาน
ตามด้วยหลักการพื้นฐานที่สุดของระบบนิเวศวิทยาเรื่อง ห่วงโซ่พลังงาน (และไม่เพิ่มอะไรให้วุ่นวายไปกว่านี้)
เพื่ออธิบายว่า น้ำมันและก๊าซธรรมชาติเป็นแหล่งพลังงานที่มีต้นตอมาจ ากแสงอาทิตย์รูปแบบหนึ่งได้อย่างไร
จุดเปลี่ยนจากการพัฒนาเครื่องมือที่ใช้คาร์บอนพลังงา นสูงเป็นเชื้อเพลิงในการเพิ่มอัตราการผลิต, การขนส่ง
กำเนิดแนวความคิดตีค่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ใช่มนุษย ์ เป็นแหล่งทรัพยากร (Resource) ที่ใช้ไม่มีวันหมด
สร้างวิถีชีวิตที่ตัดขาดจากธรรมชาติมากขึ้นเรื่อยๆ จนมนุษย์ทุกวันนี้แทบไม่ต่างจากนักบินที่ใช้ชีวิตในอ วกาศ
สามารถจดจำชื่อสินค้าในโฆษณาได้เป็นร้อยชนิด แต่กลับบอกชื่อต้นไม้ในท้องถิ่นของตัวเองได้ไม่ถึงสิ บชนิด
.
แขกรับเชิญในภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ก็ไม่ธรรมดาครับ ตั้งแต่สารพัดองค์กร NGO ที่บ้านเราไม่เคยได้ยิน
อาจารย์มหาวิทยาลัย นักคิดนักเขียน อดีตผู้อำนวยการ CIA อดีตประธานาธิบดี ผู้เชี่ยวชาญหลายสาขาวิชา
นักสมุทรศาสตร์ ดาราศาสตร์ บาทหลวง นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ เจ้าหน้าที่ทางการเงิน นักเศรษฐศาสตร์
นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังอย่าง สตีเฟ่น ฮอว์คิง (แฟนพันธุ์แท้คงเข้าใจดีว่าทำไมเขาจึงมาได้แต่เสียงก ับภาพนิ่ง)
และผู้ชำนาญการเฉพาะด้านอีกมากมายหลายแขนงเล่นเอาผมอ ึ้งไปเลยครับว่ารวบรวมมาไว้ด้วยกันได้อย่างไร
แต่ การมีผู้เชี่ยวชาญมาเล่าเรื่องมากไป อาจเป็นจุดที่ทำให้เรื่องนี้ดูน่าเบื่อกว่า An Inconvenient Truth
ทว่าวิถีชีวิตของพวกเราดำเนินใน The 11th Hour นั้น มันยิ่งกว่า An Incovenient Truth เสียอีก
วิถีชีวิตที่ล้างผลาญทรัพยากรอย่างไร้ประสิทธิภาพ และผลิตของเสียมากขนาดนี้ มันยากที่จะหักล้างได้ครับ
.
.
"คนพูดว่าทำไมนักการเมืองไม่ตอบสนองต่อวิกฤติทางอากา ศ ของโลก
ทำไมล่ะ ก็เพราะพวกเขาตอบสนองต่ออำนาจที่เหนือกว่า
และตอนนี้อำนาจที่เหนือกว่าก็คืออุตสาหกรรมน้ำมันฟอส ซิล"
.
มิเชล เกล็อปเตอร์
ประธานรีดีไฟน์นิ่ง โปรเกรส
.
.
ตอนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ ริค ฟิลซ์
อดีตสมาชิกอาวุโสโครงการวิทยาศาสตร์เรื่องการเปลี่ยน แปลงทางอากาศของสหรัฐอเมริกา
.
พิธีกร : คุณรับผิดชอบในการตรวจแก้ไขต้นฉบับ "Our Changing Planet"
...............คุณส่งร่างไปที่ทำเนียบขาว, เกิดอะไรขึ้นครับ ?
.
ริค : มันถูกตีกลับมา เอ่อ...พร้อมกับลายมือแก้ไขบนกระดาษเต็มไปหมด
..........โดย...เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสภาคุณภาพสิ่ งแวดล้อม
พิธีกร : เจ้าหน้าที่ระดับสูงเป็นใครครับ ?
ริค : ฟิล คูนีย์
พิธีกร : เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์หรือเปล่าครับ ?
ริค : เปล่า...เขาเป็นนักกฎหมาย...และเป็นล็อบบี้ยิสต์ของส ถาบันปิโตรเลียมอเมริกัน...
.
หนึ่งในความจริงที่ไม่มีใครอยากฟัง
.
.
หลังจากนำเสนอภาพความหดหู่ฮาร์ดคอร์ที่ไม่เกินจริง เกี่ยวกับการล้างผลาญทรัพยากรและของเสียที่เกิดขึ้น
ช่วงครึ่งหลังภาพยนตร์ได้นำเสนอทางออกของปัญหา จำนวนไม่น้อยสามารถทำได้ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน
รวมถึงอุปสรรคข้อติดขัดที่ทำให้กระบวนการแก้ไขปัญหาส ิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ไม่คืบหน้าไปเท่าที่ควร
การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่าให้มนุษย์นุ่งหนังสัตว์ แล้วเก็บกินผลไม้ตามป่านะครับ
แต่เป็นการคิดค้นเทคโนโลยีที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติ เช่น เราต้องสูญเสียทรัพยากรจำนวนมากผลิตเหล็กกล้า
ในขณะที่ แมงมุมสามารถผลิตเส้นใยที่แข็งแกร่งกว่าเหล็กถึง 5 เท่าได้ในสภาพอุณหภูมิและความดันปรกติ
การเลียนแบบการทำงานต้นไม้ที่สามารถดูดซับคาร์บอนไดอ อกไซด์ ผลิตออกซิเจน ไม่มีของเสียจากการผลิต
ซึ่งทำงานให้มนุษย์ฟรีๆ ในปีหนึ่งๆ มีผู้ลองคำนวณแล้วมีมูลค่าเกือบ 2 เท่า ของผลิตภัณฑ์มวลรวมทั้งโลก
.
หากเราไขปริศนาของธรรมชาติได้ โดยไม่ใช่การเอาชนะธรรมชาติ เราคงดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไปได้อีกนานครับ
หากเราคิดเอาแต่ชนะธรรมชาติ ล้างผลาญทรัพยากรด้วยเทคโนโลยีไร้ประสิทธิภาพ เราคงสูญพันธุ์เร็วๆ นี้
.
สรุป
ไม่ว่าโลกจะร้อนหรือไม่ร้อน มนุษยชาติก็ควรดำเนินชีวิตอยู่บนพื้นฐานของความรับผิ ดชอบต่อทุกการกระทำ
แต่ถ้าไม่อยากจะเปลี่ยนวิถีชีวิตของตนเองเพื่อหลีกเล ี่ยงการสูญพันธุ์ ก็ไม่เป็นไรครับ โลกยังคงอยู่เหมือนเดิม
ถึงสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงจนมนุษย์อาศัยอยู่ไม่ได้ มันก็เป็นเรื่องของมนุษย์หน้าโง่ครับ โลกไม่ได้เดือดร้อน
สิ่งมีชีวิตแบบใหม่ซึ่งปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศแบบให ม่ได้ดีกว่าเราก็ครองโลกใบนี้แทนเรา เท่านั้นเองครับ
ที่มา http://chubby.exteen.com/20080416/the-11th-hour
http://www.filecondo.com/dl.php?f=b3eea71tiRLQ