Dong Yi - ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์
ชื่อหนัง (เกาหลี/จีน/ญี่ปุ่น) :
Dong Yi
ชื่อหนังอื่นๆ :
Dawn
นักแสดง :
Han Hyo Joo, Ji Jin Hee, Bae Soo Bin, Lee So Yeon
กำกับโดย :
Lee Byung Hoon, Kim Sang Hyub
จำนวนตอน:
60
ประเภท :
Historical
Produced By:
Lee Se Joong
Written By:
Kim Yi Young
ปี :
2010
ออกอากาศ :
22 มี.ค. 2010 - 12 ต.ค. 2010
ออกอากาศ (เพิ่มเติม) :
ออกอากาศทางสถานี MBC ทุกวันจันทร์และวันอังคาร เวลา 21:55 น.
ออกอากาศในไทย :
วันอาทิตย์, 12 มิถุนายน, 2011 - วันอาทิตย์, 20 พฤศจิกายน, 2011
ออกอากาศในไทย (เพิ่มเติม) :
ทุกวันเสาร์ - อาทิตย์ เวลา 17:45 - 19:45 น. ทางช่อง 3
เรื่องย่อ:
เรื่องราวในช่วงกษัตริย์ซุคจงในสมัยราชวงศ์โจซอน โดยเนื้อเรื่องจะเน้นไปที่ดงอิ ที่เป็นข้ารับใช้หลวงที่ได้รับความไว้วางใจจากราชินี อินฮยอน และต่อมากษัตริย์เกิดชอบพอนาง และเธอได้กลายมาเป็นนางสนมคนหนึ่ง และลูกของเธอภายหลังได้กลายมาเป็นยองโจที่เป็นกษัตริ ย์คนหนึ่งของราชวงศ์ โจซอน
รายละเอียดนักแสดง :
Han Hyo Joo รับบทเป็น Dong Yi (ภายหลังเป็น Choi Sook Bin)
Kim Yoo Jung รับบทเป็น Dong Yi (ตอนเด็ก)
Ji Jin Hee รับบทเป็น กษัตริย์ Sukjong
Bae Soo Bin รับบทเป็น Cha Chun Soo
Lee So Yeon รับบทเป็น Jang Hee Bin / Jang Oak Jung
Park Ha Sun รับบทเป็น ราชินี Inhyeon
Jung Jin Young รับบทเป็น Seo Yong Gi
Lee Jung Gil รับบทเป็น Oh Tae Suk
Lee Kye In รับบทเป็น Oh Tae Poong
Choi Chul Ho รับบทเป็น Oh Yoon
Kim Yoo Suk รับบทเป็น Jang Hee Jae
Son Il Kwon รับบทเป็น Hong Tae Yoon
Shin Guk รับบทเป็น Do Seung Ji
Na Sung Kyoon รับบทเป็น Jung In Gook
Kim Dong Yoon รับบทเป็น Shim Woon Taek
Park Jung Soo รับบทเป็น พระพันปี Myeongseong (แม่ของ Sukjong)
Kim Hye Sun รับบทเป็น ซางกุง Jung
Kim So Yi รับบทเป็น ซางกุง Bong
Ahn Yeo Jin รับบทเป็น ซางกุง Jo
Im Sung Min รับบทเป็น ซางกุง Choi
Jung Yoo Mi รับบทเป็น Jung Eum
Kang Yoo Mi รับบทเป็น Ae Jong
Oh Eun Ho (???) รับบทเป็น Shi Bi
Han Da Min รับบทเป็น Eun Geum
Choi Ha Na รับบทเป็น Mi Ji
Lee Jung Hoon รับบทเป็น Lee Jong Ok
Choi Jae Ho รับบทเป็น Park Do Soo
Yeo Ho Min รับบทเป็น Oh Ho Yang
Lee Hee Do รับบทเป็น Hwang Joo Shik
Lee Kwang Soo รับบทเป็น Young Dal
Jung Sung Woon รับบทเป็น Choi Dong Joo (พี่ชาย Dong Yi)
Jung In Ki รับบทเป็น Kim Hwan
Jung Ki Sung รับบทเป็น ลูกศิษย์ของ Kim Hwan
Lee Sook รับบทเป็น คุณนาย Park
Kim Hye Jin รับบทเป็น Seol Hee
Choi Ran รับบทเป็น คุณนาย Yoon (แม่ของ Hee Bin)
Choi Soo Han รับบทเป็น Ge Dwo Ra (เพื่อนของ Dong Yi ตอนเด็ก)
Jung Eun Pyo รับบทเป็น พ่อของ Ge Dwo Ra
Jung Sun Il (???) รับบทเป็น Park Doo Kyung
Kwon Min รับบทเป็น Cha Soo Taek
Choi Jong Hwan รับบทเป็น Jang Mu Yeol
Lee Hyung Suk รับบทเป็น Geum / เจ้าชาย Yeoning (ภายหลังเป็นกษัตริย์ Yeongjo)
Yoon Chan รับบทเป็น รัชทายาท (ภายหลังเป็นกษัตริย์ Gyeongjong)
Nam Da Reum รับบทเป็น เจ้าชาย Eun Pyung
Heo Yi Seul รับบทเป็น Young Sun
Maeng Sang Hoon รับบทเป็น Kim Goo Sun
Oh Yeon Seo รับบทเป็น มเหสี Inwon
Chun Ho Jin รับบทเป็น Choi Hyo Won
Lee Jae Yong รับบทเป็น Jang Ik Heon
Choi Il Hwa รับบทเป็น Seo Jung Ho
Min Joon Hyun
พระมเหสีและพระพันปี
เชื้อพระวงศ์ โดยรวมเราจะหมายถึง พระพันปี พระมเหสี และพระสนม แต่บางรัชสมัยก็อาจจะมีพระหมื่นปี (พระอัยยิกาเจ้าในพระราชา) หรือพระพี่นางพระน้องนางด้วย
พระมเหสี หรือ วังบี คือพระภรรยาเจ้าที่มีศักดิ์สูงที่สุดในฝ่ายใน มีสิทธิขาดในการบังคับบัญชาพระสนม นางกำนัล หรือการดูแลความเป็นไปขององค์ชาย (ที่ยังมิได้เสกสมรส) องค์หญิง หากยังมีพระชนม์ชีพอยู่จะขานพระนามว่า วังฮู เรียกอย่างลำลองว่า มามา (ไม่ใช่มาม่านะ ^^ คำว่ามามาเนี่ยคนเกาหลีจะใช้กับคนที่เป็นเจ้านายหรือ ผู้มีตำแหน่งยศศักดิ์ ประมาณนายหญิง แต่ก็ใช้กับเจ้านายที่เป็นชายด้วยนะคับ ที่เห็นๆ ก็ในแดจังกึมนี่แหละ ที่เรียก นายหญิงๆๆๆ ไรงี้) หรือ ชุงจอน หรือ ชุงกุงจอน ทั้งสองคำ แปลว่า ตำหนักกลาง ซึ่งหมายถึงตำหนักคโยแทจอน ตำหนักของพระมเหสี คู่กับตำหนักแทจอน หรือตำหนักใหญ่ของพระราชา (คำว่าชุงจอนเนี่ย ใครดูหนังเกาหลีก็จะคุ้นๆ ไม่ใช่ชื่ออะไรหรอก คือแค่เรียกอ้อมๆ น่ะ เหมือนคนไทยสมัยโบราณที่เวลากล่าวถึงพระมหากษัตริย์ห รือเจ้านาย ก็จะไม่มีใครเอ่ยพระนามจริงกัน เพียงแต่กล่าวอ้อมๆ เหมือนเวลาเอ่ยถึง สมเด็จพระบรมราชชนกในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระอ งค์ปัจจุบัน ก็จะเรียกว่าทูลกระหม่อมแดง หรือเอ่ยถึงสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ อัครราชกุมารี ก็จะเอ่ยว่า ทูลกระหม่อมเล็ก) เมื่อสิ้นพระชนม์ไปแล้ว จึงจะได้รับการสถาปนาพระนามย้อนหลัง เช่น อดีตพระมเหสียุนโซวา ในพระเจ้าซองจง ถูกปลดจากตำแหน่ง และได้รับพระราชทานยาพิษ หลังจากที่พระเจ้าซองจงสิ้นพระชนม์ องค์ชายยอนซันที่เป็นพระโอรสของพระนางขึ้นครองราชย์ต ่อ ก็ได้สถาปนาให้กลับเข้าสู่ตำแหน่งพระมเหสี ขนานพระนามพระนางว่า สมเด็จพระราชินียุนแจฮยอนแห่งฮามาน
พระพันปี หรือ วังแดบี คือ พระราชมารดาในพระราชาหรือพระมเหสีในรัชกาลก่อน พระพันปีนี้ มิจำเป็นต้องมีพระโอรสเป็นพระราชา เมื่อเปลี่ยนรัชกาล สถานภาพก็เปลี่ยนเป็นพระพันปีทันที เช่น สมัยองค์ชายยอนซัน ซึ่งเป็นพระโอรสในพระมเหสีแจฮยอนที่สิ้นพระชนม์ไปแล้ ว สมัยนี้ก็จะมี สมเด็จพระมเหสียุนจองฮยอนแห่งพาพยอง เป็นพระพันปี ได้รับพระนามใหม่ว่า สมเด็จพระราชชนนีจาซุนแห่งพาพยอง ขนานพระนามกันในวังว่า องค์พระพันปีน้อย ตำแหน่งพระพันปี หากยังมีพระชนม์ชีพอยู่ขนานพระนามอย่างลำลองว่า วังแทฮู หรือ แทฮู หรือ มามา
พระหมื่นปี หรือ แดวังแดบี คือพระอัยยิกาของพระราชา หรืออาจจะเป็นพระมเหสีในพระราชาในรัชกาลก่อนหน้า 2 รัชกาล หากยังมีพระชนม์ชีพอยู่ขนานพระนามอย่างลำลองว่า แทวังแทฮู หรือ มามา เช่น พระมเหสีคิม ในพระเจ้ายองโจ (พระอัยกาในพระเจ้าจองโจ หรือ ลีซาน) ไดรับการสถาปนาเป็น สมเด็จพระราชินีคิมจองซุนแห่งอันดง ดำรงพระชนม์ชีพจนถึงรัชสมัยของพระเจ้าซุนโจ พระโอรสของพระเจ้าจองโจ ได้รับการสถาปนาเป็นพระปัยยิกา หรือ พระแสนปี เป็นพระมเหสีที่มีสถานะทางการเมืองเด่นเป็นอันดับต้น ๆ ของราชวงศ์โชซอน
เหล่าพระสนม
พระสนม คือ พระภรรยาของพระราชา แบ่งเป็น 8 ระดับ ได้แก่
1. พระสนมขั้นหนึ่ง ชั้นพระสนมบิน ชอง 1 พุม (เป็นการเรียงลำดับของระบบข้าราชการของโชซอน เท่ากับ ระดับ 1) มีพระนามแตกต่างกันออกไป เช่น ฮีบิน คยองบิน ซุกบิน ชางบิน มยองบิน อันบิน เป็นต้น เช่นพระสนมคยองบิน ตระกูลปาร์ค ในพระเจ้าจุงจง
2. พระสนมขั้นสอง ชั้นพระสนมควีอิน ) ชง 1 พุม เช่น พระสนมขั้นสองควีอิน ตระกูลปาร์ค ในพระเจ้าเซจงมหาราช
3. พระสนมขั้นสาม ชั้นพระสนมโซอึย ชอง 2 พุม เช่น พระสนมขั้นสามโซอึย ตระกูลยู ในพระเจ้าซุกจง
4. พระสนมขั้นสี่ ชั้นพระสนมซุกอึย ชง 2 พุม เช่น พระสนมขั้นสี่ซุกอึย ตระกูลคิม ในพระเจ้าทันจง
5. พระสนมขั้นห้า ชั้นพระสนมโซยง ชอง 3 พุม เช่น พระสนมขั้นห้าโซยง ตระกูลฮง ในพระเจ้าเซจงมหาราช
6. พระสนมขั้นหก ชั้นพระสนมซุกยง ชง 3 พุม เช่น พระสนมขั้นหกซุกยง ตระกูลควอน ในพระเจ้าซองจง
7. พระสนมขั้นเจ็ด ชั้นพระสนมโซวอน ชอง 4 พุม เช่น พระสนมขั้นเจ็ดโซวอน ตระกูลซิน ในองค์ชายควางแฮ
8. พระสนมขั้นแปด ชั้นพระสนมซุกวอน ชง 4 พุม เช่น พระสนมขั้นแปดซุกวอน ตระกูลลี ในพระเจ้าเซจงมหาราช
พระสนมทั้งหมด เรียกอย่างลำลองว่า มามา บางพระองค์ที่พระโอรสได้ขึ้นครองราชย์ ก็จะได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น บูแดบิน เช่น พระสนมในพระเจ้าซุกจงที่เราดูกันอยู่ในเรื่อง ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์ ได้รับการสถาปนาเป็น พระสนมเอกฮีบิน บูแดบิน ตระกูลจาง แห่งอกซาน ส่วนทงอีนางเอกของเรา แม้ว่าจะมาทีหลัง ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น พระสนมเอกซุกบิน ตระกูลชเว แห่งแฮจู ทั้งสองพระองค์มีพระโอรสที่ได้ขึ้นครองราชย์เป้นพระร าช
องค์หญิง มีสองฐานันดรศักดิ์ แบ่งเป็น กงจู คือ องค์หญิงที่ประสูติจากพระมเหสี และองจู คือ องค์หญิงที่ประสูติจากพระสนม ส่วนองค์ชายก็มีสองฐานันดรศักดิ์เช่นกัน คือ แทกุน หรือ องค์ชายที่ประสูติจากพระมเหสี และกุน หรือ องค์ชายที่ประสูติจากพระสนม
นางวัง หรือ กุงอิน หรือ กุงนยอ หรือชื่อเต็มๆ ก็คือ กุงจุงนยอกวาน (แปลว่า สตรีในวังที่มีตำแหน่งหรือฐานันดร) เพราะสตรีทั้งหลายในวังนั้นแม้จะมีทั้งนางวัง แพทย์หญิง นางรำ นางทรง แต่มีเพียงนางวังเท่านั้น ที่มีสิทธิถือครองบรรดาศักดิ์ แบ่งเป็นนางวังทั่วไป ซังกุง และซึงอึนซังกุง ทั้งหมดนี้รวมเรียกว่า แนเมียงบู หรือ ราชสำนักฝ่ายใน นางวังเหล่านี้ บางคนมีอำนาจถึงขนาดสามารถบงการการเมืองได้เลยทีเดีย ว
นางในทั่วไป จะเริ่มจากการเข้าวังมาตั้งแต่เด็กๆ โดยผ่านการสอบเป็นเซ็งกักชิ หรคือ นางกำนัลเด็ก และสอบต่อมาประจำปีเรื่อยมา จนอายุประมาณสิบห้าปี ก็จะมีการสอบอีกครั้ง เรียกการสอบนี้ว่า ออชอนเคียงยอน โดยผู้ที่สอบตกก็จะต้องถูกขับออกจากวัง โดยคนที่สอบผ่านก็จะได้เข้าพิธีนาอินฉิก เพื่อถวายสัตย์เป็นนางวัง ถือว่าเป็นนางวังเต็มตัวแล้ว นางวังถือเป็นสตรีสูงศักดิ์ ที่บุคคลอื่นที่ไม่มียศตำแหน่งเทียบเท่า จะบังอาจล่วงเกินมิได้
เมื่ออายุประมาณ 30 ปีก็จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นซังกุง โดยนางวังจะประกอบไปด้วย ซังกุง ซังอี ซังบก ซังฉิก ซังชิม ซังกง ซังจอง ซังกี ซึ่งเป็นหน่วยงานในแนเมียงบู ซังกุง จะถือตำแหน่ง ชอง 5 พุม หรือ ระดับ 9
ซังกุง
แนเมียงบูควบคุมดูแลโดยพระมเหสี และมีหัวหน้านางวังคือ เชโจซังกุง หรือ ซังกุงปกครอง ทำหน้าที่ปกครองนางวังทั้งหมดในสังกัด และจะมีฝ่ายต่างๆ อีก เช่น ฝ่ายโซจูบัง (ห้องเครื่อง) ฝ่ายจาซูดัง (ห้องเย็บปัก) เป็นต้น โดยหัวหน้าของแต่ละฝ่ายเรียกว่า ซังกุงสูงสุด
ซังกุงเหล่านี้ ยังมีแบ่งย่อยอีก เป็นซังกุงธรรมดา และซังกุงชั้นสุง สังเกตจากแคดูและชุดที่สวมใส่ แคดูคือเครื่องประดับศีรษะสำหรับนางวัง ทำด้วยผ้าแพร บ่งบอกสถานะ มักมีสีต่างกัน ในสมัยนั้น หากใครมีผมสูงที่สวมจากวิก (คาเช) ก็จะมียศสูงเท่านั้น หากเป็นสตรีธรรมดา มิได้อยู่ในวัง ก็จะไม่ใส่แคดู
ซังกุงชั้นธรรมดา จะสวมใส่ชุดสีเขียวอ่อน ได้แก่ ซังกุงที่ประจำอยู่ซูรากัน หรือห้องเครื่องใหญ่, ซังกุงน้อยใหญ่ต่างๆ, ซังกุงลิ้มรส (คีมีซังกุง), ซังกุงที่ทำงานอยู่ฝ่ายต่างๆ, ซังกุงที่ประจำอยู่ตำหนักต่างๆ, รวมทั้งซังกุงคนสนิทของเชื้อพระวงศ์ด้วย แต่ยกเว้นซังกุงคนสนิทของพระพันปี (แทฮวางฮุ) ซังกุงเหล่านี้ จะไม่สวมแคดู ยามทำงานก็จะสวมใส่เสื้อกันเปื้อนสีขาวเช่นเดียวกับน างวัง
ซังกุงชั้นสูง จะสวมใส่ชุดสีเขียวเข้ม สวมแคดู ความสูงของวิกแล้วแต่ยศ ได้แก่ ซังกุงปกครอง, ซังกุงสูงสุด, ซังกุงพี่เลี้ยง, ซังกุงหัวหน้าในแผนกต่างๆ ของฝ่ายห้องเครื่องและฝ่ายห้องเย็บปัก
ชุดของนางวัง จะใส่ชุดสีม่วง (ในซีรีส์ดูเหมือนว่านางวังห้องเครื่องจะใส่สีแดง นางวังห้องเย็บปักสวมสีแดง ที่จริงสวมสีม่วงเหมือนกัน เพียงแต่แตกต่างตามความเข้มของสีเท่านั้น) ก่อนที่จะเข้าพิธีนาอินฉิก จะต้องสวมใส่สีเขียวเข้ม เซ็งกักชิจะสวมเสื้อสีชมพู เปียถูกปล่อยยาว ต่างจากนางวังที่โตขึ้นมาหน่อย จะรวบเปียไว้ โดยผูกด้วยโบว์สีแดง เวลามีงานพระราชพิธี หรือพวกนางวังอยู่เวรตามตำหนักต่างๆ ก็จะมีชุดฮวารยอ (เสื้อที่มีชายยาว ไว้สำหรับสอดมือด้านใต้) เวลาทำงาน จะมีเสื้อกันเปื้อนสีขาวสวมใส่
นางกำนัล หรือนางวัง
สำหรับซังกุง จะมีชุดสำหรับพระราชพิธี คือ ชุดวอนซัม ซึ่งผ่าจนถึงรักแร้ ซึ่งจะต้องสวมเครื่องประดับศีรษะอันใหญ่โต ในเวลาต่อมา เมื่อมีการยกเลิกการสวมวิกผมเพื่อบอกตำแหน่ง ก็มีการนำผมมารวบไว้ด้านหลังเฉยๆ มีเพียงเครื่องประดับและชุดเท่านั้นที่สามารถบอกยศขอ งผู้สวมได้
ความแตกต่างของชุดฮวารยอกับชุดทังอีก็คือ ชุดฮวารยอเป็นชุดของนางวัง ไม่มีลวดลายสวยงาม แต่ชุดทังอี คือ ชุดของเชื้อพระวงศ์ มีลวดลายตามศักดิ์ของผู้สวมใส่
นางวังที่ได้รับการถวายตัว จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นซึงอึนซังกุง และหากตั้งครรภ์หรือโปรดปรานเป็นพิเศษ ก็จะได้รับการแต่ตั้งให้เป็นพระสนม ซึงอึนซังกุงนี้ มีศักดิ์สูงกว่าซังกุงปกครองที่ดูแลฝ่ายในเสียอีก
เมื่อแรกเริ่มที่เข้ารับพิธีนาอินฉิก นอกจากที่จะมีพระมเหสีเป็นองค์ประธานแล้ว นางวังจะต้องปฏิญาณต่อเชโจซังกุง หรือซังกุงปกครองด้วยว่า ไม่ว่าจะทำผิดด้วยประการใด จะต้องสำเร็จโทษกันเองภายใน อย่าได้แพร่งพรายออกไปให้เป็นที่เสื่อมเสียต่อแนเมีย งบู (ฝ่ายใน) แม้แต่พระมเหสีที่เป็นผู้ดูแลฝ่ายในก็ต้องปิดบัง เพราะการทำผิดของนางในถือว่าเป็นความผิดของซังกุงผู้ ดูแลรับผิดชอบ จึงอาจจะถูกล้มล้างอำนาจยกแผงก็เป็นได้
นางวัง ถือคติหนึ่งที่ว่า นางวังคือสตรีของพระราชา ซึ่งไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเกี้ยวพาหรือฉุดคร่าไปเป็นภ รรยาได้ แม้แต่พระสนมหรือพระมเหสีที่มีสถานะถูกปลดหรือเมื่อเ ปลี่ยนรัชกาล สตรีของพระราชา ทั้งหมดนี้ หากมีอันที่จะต้องออกไปอยู่นอกวัง จะต้องรักษาความบริสุทธิ์ไว้ยิ่งชีพ นางวังที่ถูกปลด แม้จะถูกปลดก็ไม่สามารถมีสามีได้ มีทางเลือกเพียงสองทาง คือ ออกบวช หรือฆ่าตัวตายเท่านั้น มิเช่นนั้นก็ต้องหนีออกไปให้ไกลเท่าไหร่ได้ยิ่งดี เพราะอาจถูกสำเร็จโทษตามบัญญัติฝ่ายในได้ ส่วนพระมเหสีหรือพระสนมที่ถูกปลด มีเพียงทางเลือกเดียวคือ การออกบวช (แต่ที่เห็นๆ คือเพียงนุ่งขาวด้วยผ้าป่านเนื้อหยาบ) ภายใต้การกักบริเวณไว้ในที่พัก ส่วนการเปลี่ยนรัชกาล พระมเหสีมีสถานภาพที่ดีกว่า คือได้เป็นพระพันปี อาศัยอยู่ในวัง ไม่ว่ารัชกาลจะเป็นโอรสพระนางหรือไม่ ต่างกับพระสนมที่ต้องออกไปอยู่นอกวีงและออกบวชเพียงส ถานเดียว
หากฝ่ายในทำผิด จะมีการสำเร็จโทษ 3 ประการให้เลือก คือ เมื่อพระราชโองการมาพร้อมกับถาดเครื่องสำเร็จโทษ หลังจากที่อ่านโองการสำเร็จโทษ นักโทษจะต้องเลือกเอาว่าจะตายเช่นไร ในถาดจะมียาพิษ ผ้า (ใช้ผูกคอตาย) และมีดสั้น แต่ส่วนมากก็จะมีเพียงการประทานยาพิษ (สงสัยมีธรรมเนียมไว้หรูๆ มั้งคับ 555+) แต่มีเหตุการณ์หนึ่ง คือ การปลดและถวายนาพิษต่อพระมเหสีแจฮยอนในพระเจ้าซองจง ซึ่งถือเป็นเหตุการรืที่เกิดผลตามมาอย่างใหญ่หลวง คือ เมื่อพระโอรสของพระนางขึ้นครองราชย์สืบต่อ ก็ได้มีการสังหารผู้เกี่ยวข้องกับการตายของพระมารดา เรียกเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า การสังหารหมู่ปราชญ์ปีมูโอ ที่นำไปสู่กลียุคและการล้มล้างองค์ชายยอนซันโอรสของพ ระนาง ใครเคยดูก็จะรู้ว่าเหตุการณ์นี้ก็คือเหตุการณ์ที่ยุน โซวาฝากผ้าเปื้อนเลือด ไปให้วอนจานั่นแหละ
และการผูกคอก็มีในประวัติศาสตร์เป็นที่โด่งดังอีก ก็คือการแขวนคอนางออลูตง ที่จริงนางออลูตงเนี่ย ไม่ได้เกิดสมัยเดียวกับพระเจ้าซองจง ยุนโซวาหรือคิมชูซอนหรอกครับ แต่คนเขียนบทเขาเอาไปใส่รวมไว้ให้มันเศร้าๆ เท่านั้นเอง ออลูตงในประวัติศาสตร์เกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าเซจง ก่อนหน้าพระเจ้าซองจงหลายรัชกาลหยุคับ ออลูตงเป็นภรรยาของเชื้อพระวงศ์คนหนึ่ง แล้วแอบไปมีความสัมพันธ์กับพระโอรสของพระเจ้าเซจง จนเรื่องแดงออกมา จึงมีการนำนางไปสำเร็จโทษด้วยการแขวนคอประจาน คนเกาหลีถือว่าเป็นความอัปยศที่สุดที่มีสตรีต่ำทรามถ ึงขั้นคบชู้สู่ชาย แม้กระทั่งในประวัติศาสตร์ก็ไม่ต้องการเอ่ยชื่อ เพียงกล่าวชื่อนางว่า ออลูตง ซึ่งแปลว่า ความอัปยศ
พระเจ้าซุกจง กษัตริย์องค์ที่ 19 แห่งราชวงศ์โซซอน (ครองราชย์ 15 สิงหาคม 1674 1720) นักมายากลการเมือง
พระเจ้าซุกจง มีพระนามเดิมว่า ลีซุน เป็นพระโอรส ในพระเจ้าฮยอนจง กษัตริย์องค์ที่ 18 แห่งโซซอน และมเหสีมยองซอง (พระพันปีมยองซอง) โดยได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท เมื่อปี ค.ศ. 1667 เมื่อพระชนม์มายุ 6 พรรษา และปี ค.ศ. 1674 พระองค์ได้ก้าวสู่ราชบัลลังก์เป็นกษัตริย์องค์ที่ 19 แห่งราชวงศ์โซซอน เพียงพระชนม์มายุ 14 พรรษา กับปณิธานอันแน่วแน่ที่ไม่อยากเป็นเพียงหุ่นเชิดให้ข ุนนางสั่งซ้ายหัน ขวาหัน รัชสมัยของพระเจ้าซุกจง ขุนนางในราชสำนักแบ่งเป็น 2 ฝ่ายอย่างชัดเจน รุนแรงและดุเดือน ระหว่างกลุ่มฝ่ายตะวันตก และกลุ่มฝ่ายใต้ โดยระยะแรกนั้นกลุ่มฝ่ายตะวันตกค่อนข้างที่จะเป็นต่อ ซึ่งสามรถผลักดันสตรี ถึง 2 นางเป็นมเหสีของพระเจ้าซุกจง สตรีนางแรกคือพระมเหสีอินคยองที่อภิเษกตั้งแต่พระเจ้ าซุกจงเป็นรัชทายาท ซึ่งอายุไม่ยืน ลาลับไปก่อน สตรีนางที่ 2 เป็นใครไม่ได้นั้นคือมเหสีตระกูลมิน ที่เรารู้จักกันในนามพระมเหสีอินฮยอน
ฝ่ายใต้บางคนก็ไม่อยากให้พระองค์เป็นกษัตริย์สักเท่า ไร ในปี ค.ศ. 1680 ฝ่ายใต้พยายามก่อกบฏ ยกองค์ชายพงซอนเป็นกษัตริย์ ทำให้เหตุการณ์ตอนนั้นฝ่ายใต้ถูกกำจัดเป็นจำนวนมาก กลุ่มตะวันตกจึงมีอำนาจอย่างสุดขีดในราชสำนักตอนนั้น กลุ่มฝ่ายใต้เพื่อจะได้กลับมามีอำนาจอีกครั้ง จึงได้สนับสนุน จางอ๊กจองเป็นพระสนม ประกอบกับพระเจ้าซุกจง ก็มีความรักให้กับจางอ๊กจอง ซึ่งฝ่ายตะวันตกไม่ปลื้มเลยแม้แต่น้อย พระองค์จึงเห็นช่องทางเริ่มเกมส์กำจัดอำนาจฝ่ายตะวัน ตก ด้วยการแต่งตั้ง จางอ๊กจอง เป็นสนมซุกวอน และเมื่อจางอ๊กจองประสูติพระโอรส จึงได้รับการแต่งตั้งเป็นพระสนมเอกจางฮีบิน พระเจ้าซุกจงพยายามแต่งตั้งโอรสของจางฮีบิน เป็นองค์ชายรัชทายาท จึงสร้างความขัดแย้งให้ราชสำนักอีกครั้งโดยกลุ่มฝ่าย ใต้นั้นเห็นด้วยอย่าง ยิ่ง ยิ้มร่า สนับสนุนอย่างไม่ลดละ แต่กลุ่มตะวันตกนั้นคัดค้านหัวชนฝา หัวเด็ดตีนขาดก็จะให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ สุดท้ายเกมส์การเมืองจบลงโดยการเนรเทศกลุ่มตะวันตก รวมทั้งปลดและขับมเหสีอินฮยอนที่เป็นสัญลักษณ์กลุ่มต ะวันตกออกจากวังหลวง พระเจ้าซุกจงจึงได้แต่งตั้งโอรสของจางฮีบิน เป็นองค์รัชทายาทแห่งโซซอนสำเร็จ ทำให้กลุ่มฝ่ายใต้มีอำนาจอย่างสุดขีด พร้อมกับการสนับสนุนจางฮีบิน เป็นพระมเหสีแทนพระมเหสีอินฮยอน เมื่อปี 1688 เรียกว่า การเปลี่ยนขั้วทางการเมืองปีคีซา กลุ่มฝ่ายใต้เสวยสุขอยู่เพียง 6 ปี ในปี ค.ศ. 1694 ความสั่นคลอนก็มาถึง เมื่อขุนนางฝ่ายตะวันตกถวายฎีกา ให้ทรงดูแลอดีตพระมเหสีอินฮยอน เกมส์การเมืองจึงกลับตาลปัตร เมื่อพระเจ้าซุกจงคิดได้ว่า ยังมีภรรยาอีกคนที่ทิ้งนางไว้เสียนาน ประกอบกับอำนาจของพระมเหสีจางและฝ่ายใต้ที่ยากควบคุม ได้ จึงตัดสินใจรับให้มเหสีอินฮยอนกลับเข้าวัง เป็นมเหสีดังเดิม และปลดพระมเหสีจาง เป็นพระสนมเอกเหมือนเดิม เรียกว่า การเปลี่ยนขั้วทางการเมืองปีคัปซุล พร้อมทั้งมีดำริห้ามแต่งตั้งพระสนมเป็นพระมเหสีอีก แต่ไม่ปลดองค์รัชทายาท ให้องค์รัชทายาทอยู่ในการดูแลของมเหสีอินฮยอน กลุ่มตะวันตกจึงทะยานสู่อำนาจอีกครั้ง
ปี ค.ศ. 1701 พระมเหสีอินฮยอน สิ้นพระชนม์อย่างกะทันหัน เหตุการณ์ไม่จบลงแค่นั้น เมื่อสืบทราบได้ว่า พระสนมจางฮีบิน และญาติของนางอยู่เบื้องหลัง พระเจ้าซุกจงจึงมีพระราชโองการประหารชีวิต นำไปสู่การล่มสลายของฝ่ายใต้ ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายใต้กับฝ่ายตะวันตกจึงปิดฉากลง และค.ศ. 1702 พระเจ้าซุกจงได้อภิเษกกับมเหสีอีกพระนาง คือ พระมเหสีอินวอน ในปลายรัชสมัยนั้น กลุ่มขุนนางฝ่ายตะวันตกได้แตกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายโซรน (ขุนนางหัวใหม่) สนับสนุนองค์ชายลียุน องค์รัชทายาท (พระเจ้าคยองจง) ส่วนอีกฝ่าย ฝ่ายโนรน (ขุนนางหัวเก่า) สนับสนุนองค์ชายยอนอิง พระโอรสพระสนมชอยซุกบิน (พระเจ้ายองโจ) 2 ปีสุดท้ายของรัชกาลพระเจ้าซุกจง พระเจ้าซุกจงได้แต่งตั้งองค์รัชทายาทเป็นผู้สำเร็จรา ชการ โดยพระองค์เสด็จสวรรคตเมื่อ ปี ค.ศ. 1720 มีพระชนม์มายุรวม 60 พรรษา ครองราชย์ยาวนานถึง 46 ปี
พระราชินีชางรยอล ราชินี 4 แผ่นดิน มีศักดิ์เป็นพระปัยยิกาเลี้ยง หรือ ย่าทวดเลี้ยง ของพระเจ้าซุกจง/(พระนางเป็นผู้ผลักดันจน ชางอกจอง ได้รับการแต่งตั้งเป็นสนมซุกอี (พระสนมจางฮีบิน) สนมระดับ 2 ขั้นรอง
พระราชินีอินรยอลเป็นพระมเหสีองค์ที่ 2 ในพระเจ้าอินโจ กษัตริย์องค์ที่ 16 แห่งโชซอน
ปลายปี พ.ศ.2181 หลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์ที่แมนจูบุกโชซอนแล้ว พระเจ้าอินโจจึงทำการคัดเลือกราชินีพระองค์ใหม่ แล้วก็ได้คุณหนูจากตระกูล โช หรือ โจ วัย 14 ปี มาเป็นมเหสี โดยได้รับการสถาปนาเป็น พระมเหสีชางรยอล
ราชินีชางรยอลเป็นธิดาของท่าน โชจางวอน และ ชเวฮูหยิน ซึ่งเมื่อพระนางขึ้นเป็นราชินี บิดาและมารดาของพระนางจึงได้เป็น ฮันวอน พูวอนกุน และ วานซานพูบูอิน
ราชินีชางรยอลประสูติเมื่อ พ.ศ.2167 อ่อนชันษากว่าพระเจ้าอินโจผู้เป็นสวามีถึง 31 ปี และอ่อนชันษากว่าองค์รัชทายาทโซฮยอนที่ถือเป็นพระโอร สเลี้ยงของพระนางถึง 12 ปีเลยทีเดียว ถือเป็นพระมารดาเลี้ยงที่ชันษาอ่อนกว่าโอรสเลี้ยงมาก ที่สุดในโชซอน รวมทั้งยังอ่อนกว่าองค์ชายพงริมและองค์ชายอิมพยอง โอรสองค์ที่สองและสามอีกด้วย
เมื่อราชินีชางรยอลเข้ามาดูแลฝ่ายในพระนางก็กลายเป็น ผู้นำและผู้อาวุโสสูง สุดในฝ่ายในด้วยพระชนมายุที่ยังถือว่าทรงพระเยาว์อยู ่ และแน่นอนว่าต้องทำให้เหล่าบรรดานางสนมที่เคยเคยเป็น ผู้อาวุโสสูงสุดในฝ่าย ในลดบทบาทลงเพื่อหลีกทางให้พระราชินียังสาวทำให้เกิด ความไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
นอกจากพระราชินีอินรยอลมเหสีองค์ก่อนที่พระเจ้าอินโจ มีพระบุตรด้วยแล้ว สนมโชก็เป็นชายาเพียงองค์เดียวที่มีพระบุตรถวายแด่พร ะสวามี ทำให้พระราชินียังสาวอย่างพระราชินีชางรยอลต้องทนกับ คำครหาว่าพระนางเป็น ราชินีไร้บุตร และกลายเป็นปมด้อยของพระนางไปอีกนาน ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะพระนางเด็กเกินไปทำให้ไม่ถูกพร ะทัยของกษัตริย์ หรืออาจจะมีพระศิริโฉมไม่เข้าพระเนตร หรือไม่ก็อาจะมีโรคประจำตัวทำให้ไม่มีบุตรซึ่งก็ไม่ม ีหลักฐานกล่าวไว้แน่ชัด
พ.ศ.2188 สามเดือนหลังที่รัชทายาทกลับมาจากการเป็นองค์ประกันก ็เกิดความขัดแย้งกับพระ บิดาจนองค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์ลงอย่างกระทันหัน นักประวัติศาสตร์คาดว่าพระเจ้าอินโจน่าจะมีส่วนในการ สิ้นพระชนม์ของพระโอรส ด้วย แต่พระเจ้าอินโจกลับทรงสั่งประหารชีวิตพระชายาคัง ชายาขององค์รัชทายาทโซฮยอนในข้อหามีส่วนในการสิ้นพระ ชนม์ของรัชทายาทและเป็น กบฏแทน รวมทั้งเนรเทศพระนัดดา โอรสของรัชทายาทและพระชายาไปยังเกาะเชจู
พระราชินีชางรยอลทรงได้แต่นิ่งเฉยกับเรื่องที่เกิดขึ ้นเพราะทรงรู้ดีว่าสนม โชคอยยุยงให้พระเจ้าอินโจกับพระโอรสแตกคอกันเพื่อที่ จะได้ส่ง องค์ชายซุงซอน โอรสของตนขึ้นเป็นรัชทายาทแทน ซึ่งพระเจ้าอินโจทรงลุ่มหลงสนมองค์นี้มาก แต่กระนั้นเมื่อองค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์ พระเจ้าอินโจก็ไม่ได้แต่งตั้งองค์ชายซุงซอนขึ้นเป็นร ัชทายาทแต่อย่างใดเพราะ ยังทรงพระเยาว์อยู่ ทำให้องค์ชายพงริมพระโอรสองค์รองขึ้นเป็นรัชทายาทแทน จน พ.ศ.2192 พระเจ้าอินโจก็ทรงสวรรคต องค์รัชทายาทพงนิมจึงขึ้นครองราชย์เป็น พระเจ้าฮโยจง กษัตริย์องค์ที่ 17
ราชินีชางรยอลในวัย 25 พรรษา ได้รับสถาปนาขึ้นเป็น ชาอี วังแทบี หรือ พระพันปีหลวง ชาอี หรือ ชาอึย เป็นพระมารดาเลี้ยงของพระเจ้าฮโยจง แต่พระนางก็ยังอ่อนชันษากว่าพระเจ้าฮโยจงถึง 5 ปี ซึ่งในต้นรัชสมัยของพระเจ้าฮโยจง สนมโชยังคงอยู่ในวังเป็นหนามยอกอกของพระนางชางรยอลอย ู่ ในฐานะพระพันปีแม้สิทธิ์ในการดูแลฝ่ายในตกเปลี่ยนไปอ ยู่ที่พระราชินีอินซอน มเหสีในพระเจ้าฮโยจง แต่พระราชินีชางรยอลก็ยังถือเป็นผู้อาวุโสในราชสำนัก แม้พระนางจะมีพระชนษา เพียง 25 พรรษา ก็ตาม เป็นไปได้ที่พระนางจะหาวิธีต่างๆเพื่อที่จะกำจัดสนมโ ชไปให้พ้นพระเนตรพระกรร แล้วในที่สุดสนมโชก็ถูกปลดและประหารชีวิตในปีครองราช ย์ที่ 2 ของพระเจ้าฮโยจงด้วยข้อหากบฏ แต่ถึงอย่างนั้นเนื่องจากพระราชินีชางรยอลไม่มีบุตรเ ลยจึงทรงรับ องค์หญิงฮโยมยอง องค์ชายซุงซอน องค์ชายนักซอน พระโอรสของสนมโชมาอุปการะ
10 ปีต่อมา ใน พ.ศ.2202 พระเจ้าฮโยจงสวรรคต องค์รัชทายาทลีฮยอน ผู้เป็นพระโอรสจึงขึ้นครองราชย์เป็น พระเจ้าฮยอนจง กษัตริย์องค์ที่ 18 พระพันปีหลวงชาอีจึงได้เป็น แทวังแทบี ในที่ พระอัยยิกาเจ้า(ย่า) ด้วยวัย 35 พรรษา แต่ทันทีที่พระเจ้าฮยอนจงขึ้นครองราชย์ ก็ทรงประสบปัญหาความขัดแย้งระหว่างขุนนางฝ่ายตะวันตก และฝ่ายใต้ เรื่องที่ว่าจะให้พระอัยยิกาเจ้าชาอี ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระมารดาเลี้ยงของพระเจ้าฮโยจงใส่ชุ ดไว้ทุกข์ให้พระเจ้าฮโย จงเป็นเวลานานเท่าไร เพราะตามหลักขงจื้อไม่ได้กำหนดไว้เรื่องการปฏิบัติระ หว่างแม่เลี้ยงกับลูก เลี้ยงที่สืบทอดสมบัติครอบครัว ซึ่งเรื่องการสวมชุดไว้ทุกข์นี้เป็นปัญหามากทั้งตอนท ี่พระเจ้าฮโยจงสวรรคต ตามด้วยพระพันปีอินซอน และพระเจ้าฮยอนจง จนสุดท้ายมาจบลงในสมัยพระเจ้าซูกจง กษัตริย์องค์ที่ 19 โดยพระองค์ตัดสินให้พระนางสวมชุดไว้ทุกข์ 1 ปี ให้แก่พระเจ้าฮยอนจง และให้ยุติเรื่องนี้
ตลอดช่วงรัชสมัยของพระเจ้าฮโยจงและฮยอนจง พระราชินีชางรยอลต้องอยู่อย่างเสียพระทัยกับเรื่องกา รไม่มีบุตรอยู่เรื่อยมา แต่ถึงกระนั้นพระนางก็ยังมีพระญาติสายสกุลโชของพระบิ ดามาเยี่ยมเยียนเป็น ประจำ ซึ่งองค์ชายซุงซอนที่พระนางทรงรับอุปการะไว้ ต่อมาก็ได้แต่งงานกับ คุณหนูซิม หลานสาวของพระนางเอง (เป็นธิดาของน้องสาวพระนาง) และให้ประสูติ องค์ชายดองพยอง ซึ่งเป็นพระนัดดาองค์โปรดของพระราชินีชางรยอลเลยทีเด ียว
ราชินีชางรยอลซึ่งเป็นชาอีแทวังแทบีอยู่แล้ว แต่ในรัชกาลก่อนเป็นพระอัยยิกา มาถึงสมัยพระเจ้าซุกจงพระนางทรงมีศักดิ์เป็นพระปัยยิ กา(ย่าทวด) ด้วยวัย 50 พรรษา และเป็นผู้อาวุโสสูงสุดในราชสำนัก ซึ่งแม้พระนางจะไม่ใช่เสด็จทวดแท้ๆของพระเจ้าซุกจง แต่พระนางก็ได้รับความเคารพและการปรนิบัติที่ดีจากพร ะราชินีอินกยอง(มเหสี ของพระเจ้าซุกจง)และพระพันปีหลวง(มเหสีของพระเจ้าฮยอ นจง)เสมอมา แต่ก็ใช่ว่าจะราบรื่นเพราะขณะนั้นขุนนางแบ่งออกเป็นฝ ่ายใต้และฝ่ายตะวันตก ซึ่งพระพันปีนั้นเข้ากับฝ่ายตะวันตก ส่วนพระปัยยิกานั้นเข้ากับขุนนางฝ่ายใต้ทำให้ทั้งสอง ไม่ค่อยลงรอยกันเท่า ไหร่นัก
พ.ศ.2223 พระราชินีอินกยองสิ้นพระชนม์ ทำให้พระปัยยิกาและพระพันปีหลวงต้องทำการคัดเลือกราช ินีองค์ใหม่ให้แก่พระ เจ้าซุกจง แล้วก็ได้มาเป็น ราชินีอินฮยอน ซึ่งมาจากการสนับสนุนของขุนนางฝั่งตะวันตกรวมทั้งพระ พันปีหลวงด้วย ทำให้พระปัยยิกาไม่พอพระทัยเท่าไหร่นัก ประกอบกับองค์ชายดองพยองได้นำหญิงสาวสกุลชาง หรือ จาง นามว่า ชางอกจอง หรือ จางอกจอง มาถวายตัวเป็นนางกำนัลในตำหนักของพระนางแล้วพระเจ้าซ ุกจงเกิดโปรดนางกำนัลคน นี้ขึ้นมา ทำให้พระปัยยิกาสนับสนุนนางในชางให้ได้ถวายตัวเป็นสน มอย่างเต็มที่ ซึ่งก็ทำให้พระพันปีหลวงไม่พอพระทัยเป็นอย่างมากเช่น กัน แต่พระพันปีหลวงก็สิ้นพระชนม์ไปเสียก่อนใน พ.ศ.2226
มาถึงตอนนี้ผู้อาวุโสของฝ่ายในเหลือเพียงพระนางชางรย อลผู้เป็นพระปัยยิกา เพียงองค์เดียว ซึ่งใน พ.ศ.2229 พระนางก็ได้ผลักดันจน ชางอกจอง ได้รับการแต่งตั้งเป็นสนมซุกอี สนมระดับ 2 ขั้นรอง และจากนั้นใน พ.ศ.2231 พระปัยยิกาก็สิ้นพระชนม์ลงอย่างสงบ ซึ่งหากพระนางอยู่ต่อได้อีกสักปี พระนางจะได้เห็นสนมชางขึ้นเป็นสนมเอก และพระราชินีเลยทีเดียว
ปีที่พระราชินีชางรยอลจากไปตรงกับ ปีครองราชย์ที่ 14 ของพระเจ้าซุกจง กษัตริย์องค์ที่ 19 แห่งโชซอน สิริรวมพระชนมายุได้ 65 พรรษา ได้รับพระนามเต็มว่า ชาอี กงซิน ฮวีฮอน กังอิน ซุกมก ชางรยอล วังฮู
พระราชินีชางรยอล สกุล โช หรือ โจ มเหสีองค์ที่ 2 ในพระเจ้าอินโจครับ จากเรื่อง Cruel Palace War of the Flowers (ถ้าใครได้ดู จาง อก จอง พระพันปีโชในเรื่องก็คือราชินีชางรยอลนี่แหละครับ พระนางมีพระชนม์ชีพยืนยาวมาจนถึงสมัยพระเจ้าซุกจง โดยมีพระยศเป็น แทวังแทบี มีศักดิ์เป็นพระปัยยิกาเลี้ยง หรือ ย่าทวดเลี้ยง ของพระเจ้าซุกจงครับ)
องค์ญิงซุกฮวี (ทรงมีศักดิ์เป็นอาของพระเจ้าซุกจง)
องค์ญิงซุกฮวี (Princess Sookhwi/Sukhwi) เป็นพระธิดาองค์ที่ 5 ในพระเจ้าฮโยจงและพระมเหสีอินซอน องค์หญิงเข้าพิธีอภิเษกกับ Jung Je-hyun เมื่ออายุ 12 ปี หลังจากแต่งงานกัน 8 ปี องค์หญิงได้ให้กำเนิดลูกชายหนึ่งคน คือ Jung Tae-il อย่างไรก็ตาม Jung Je-hyun เสียชีวิตหลังจากลูกชายเกิดได้เพียง 1 ปี แต่โชคชะตาก็เล่นตลกอีกครั้ง เมื่อลูกชายเพียงคนเดียวเสียชีวิตตั้งแต่อายุ 25 ปี และองค์หญิงสิ้นพระชนม์เมื่ออายุ 55 ปี
องค์หญิงซุกฮวีทรงเป็นพระขนิษฐาในพระเจ้าฮยอนจง ดังนั้นจึงทรงมีศักดิ์เป็นอาของพระเจ้าซุกจง และทรงมีความใกลิชิดกับพระเจ้าซุกจงมาตั้งแต่เยาว์วั ย ดังนั้นหลังจากการสิ้นพระชนม์ขององค์หญิง พระเจ้าซุกจงทรงมีรับสั่งให้จัดการงานพระศพด้วยองค์เ อง
ดูจากซีรี่ย์ Horse Doctor องค์หญิงซุกฮวีน่าจะเป็นขนิษฐาองค์โปรดของพระเจ้าฮยอ นจงเลยก็ว่าได้ จึงทำให้มีความสนิทสนมกับพระนัดดา (พระเจ้าซุกจง) ตามไปด้วย แอดมินชอบองค์หญิงในเรื่องมาก แม้จะไม่ใช่นางเอกของเรื่อง แต่องค์หญิงอยู่ในฉากทีไรเรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้ มให้กับผู้ชมทุกตอน เรายังรู้สึกได้ถึงความน่ารักสดใสแล้วคนเป็นพี่ชายละ คะ หากน้องสาวน่ารักสดใสแบบนี้ก็คงจะหลงเหมือนกันเนอะ
ภาพ: องค์หญิงซุกฮวี จาก Horse Doctor
องค์หญิงทรงปลอบองค์รัชทายาทอีซุน (ต่อมาคือพระเจ้าซุกจง) ในเรื่อง Horse Doctor ในเรื่ององค์หญิงได้รับอนุญาติให้กลับเข้ามาอยู่ในวั งหลวงหลังการไว้ทุกข์ ให้กับสามี
พระมเหสีอินคยอง ( ราชินีองค์แรกของพระเจ้าซุกจง)
พระมเหสีอินคยอง (Queen Ingyeong) ตระกูลคิม แห่งควางซาน ธิดาของ Kim Man-gi และภรรยาตระกูล Han แห่ง Cheongju อภิษกสมรสกับพระเจ้าซุกจงเมื่ออายุ 10 ปี ซึ่งขณะนั้นพระเจ้าซุกจงยังเป็นเพียงองค์รัชทายาท (Wangseja) ดังนั้นคุณหนูจากตระกูลคิม จึงเข้าวังมาในฐานะพระชายารัชทายาท (Wangsejabin)
ค.ศ. 1674 องค์รัชทายาทอีซุนขึ้นครองราชย์ พระนามว่า พระเจ้าซุกจง ทำให้พระชายาตระกูลคิมได้ดำรงตำแหน่งมเหสี พระนามว่า พระมเหสีอินคยอง
เดือนตุลาคม ค.ศ. 1680 พระนางป่วยเป็นโรคฝีดาษและสิ้นพระชนม์หลังจากนั้นเพี ยง 8 วัน ที่พระราชวัง Changdeok ด้วยอายุเพียง 20 ปี พระศพถูกฝังไว้ที่สุสาน Ikneung/Ingneung ในจังหวัด Gyeonggi
พระมเหสีอินคยองมีพระธิดา 2 พระองค์ คือ องค์หญิง Myeong-sun และ องค์หญิง Myeong-hye แต่สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังเด็ก
เพิ่มเติม: สำหรับตระกูลคิมแห่งควางซานของพระมเหสีนั้น ในสมัยโชซอนถือได้ว่าเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงมาก สามารถอ่านได้ในบันทึก เกร็ดความรู้จากซีรี่ย์เรื่องต่างๆ เรื่องที่ 15. ว่าด้วยเรื่อง "ตระกูลคิมแห่งควางซาน" หรือ
ในสมัยโชซอนมีตระกูลขุนนางที่มีชื่อเสียงหลายตระกูล สำหรับการจัดลำดับของตระกูลขุนนางนั้นจะขึ้นอยู่กับต ำแหน่งและเกียรติยศที่ สายตระกูลนั้นได้รับ
สำหรับ ตระกูลคิมแห่งควางซาน ถือเป็นหนึ่งตระกูลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในสมัยโชซ อน เนื่องจากเป็นตระกูลที่รับราชการกันมาอย่างต่อเนื่อง ในสมัยโชซอนนั้นบุคคลในตระกูลนี้ได้รับตำแหน่งต่างๆ ได้แก่
1. นักปราญช์ 2 คน
2. ที่ปรึกษาของรัฐ 5 คน
3. หัวหน้านักวิชาการ 7 คน
4. บัณฑิตที่สามารถสอบเข้ารับราชการ 265 คน
5. บรรณาธิการ 4 คน
6. ราชินี 1 คน
บรรพบุรุษของตระกูลคิมแห่งควางซานคือ Kim Heung-gwang ซึ่งเป็นโอรสองค์ที่ 3 ของกษัตริย์แห่งชิลลา ตระกูลคิมแห่งควางซานที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร ็จมากที่สุดมาจากสาย ตระกูลของ Kim Jangsaeng ซึ่งเป็นนักปราญช์ และลูกชายของ Kim Jangsaeng คือ Kim Jip เป็นนักปราญช์เช่นเดียวกันและ Kim Ban ลูกหลานของ Kim Ban นั้นเป็นนักวิชาการมากมายได้แก่ หัวหน้านักวิชาการ 7 คน และบัณฑิตที่สามารถสอบเข้ารับราชการ 74 คน จนกระทั่งมาถึงทายาทรุ่นที่ 3 หนึ่งในทายาทรุ่นนี้คือ Kim Man-gi ซึ่งเป็นหัวหน้านักวิชาการ มีงานเขียนที่มีชื่อเสียง ได้แก่ The Cloud Dream of the Nine และ A Record of Lady Sa s Trip to the South และนอกจากนี้ Kim Man-gi ยังเป็นบิดาของ Queen In-gyeong ราชินีองค์แรกของพระเจ้าซุกจงอีกด้วย
ภาพ: Queen Ingyeong Jang Ok-jung, Living by Love 2013
พระมเหสีอินฮยอน ( ราชินีองค์ที่สองของพระเจ้าซุกจง)
หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระมเหสีอินคยอง คุณหนูจากตระกูลมิน ธิดาของ Min Yu-jung และภรรยาตระกูล Song แห่ง Eunjin พระนางมีพี่ชาย 2 คน คือ Min Jin-hu ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของจักรพรรดินีเมียงซอง และ Min Jin-won และยังมีพี่สาว 1 คนและน้องสาว 1 คน นอกจากนี้ยังเป็นญาติกับ Song Si-yeol ซึ่งเป็นผู้นำฝ่ายตะวันตกในขณะนั้น ได้รับการคัดเลือกเข้ามาเป็นพระมเหสีองค์ที่ 2 ในพระเจ้าซุกจง โดยพระพันปีมยองซอง พระมารดาพระเจ้าซุกจง เมื่อปี ค.ศ. 1681 ขณะมีอายุ 14 ปี ได้รับพระนามว่า พระมเหสีอินฮยอน
ถึงแม้ว่าจะมีผู้สนับสนุนพระมเหสีองค์ใหม่มากมาย แต่ความสัมพันธ์ระหว่าพระเจ้าซุกจงและพระมเหสีก็ไม่ไ ด้เป็นไปดั่งที่ทุกคน คาดหวัง ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการที่พระมารดาของพระเจ้าซุกจง ได้มีคำสั่งให้จางซังกุ งออกไปพักอยู่นอกวัง พระมเหสีอินฮยอนจึงได้แต่งตั้งสตรีจากตระกูลคิม (ภายหลังคือ สนมยองบิน ตระกูลคิม แห่งอันดง) ขึ้นมาเป็นสนมคนใหม่เพื่อเบนความสนใจของพระเจ้าซุกจง จากจางซังกุง แต่ก็ไม่เป็นผล
ค.ศ. 1688 สนมจางได้ให้กำเนิดโอรสองค์แรก พระเจ้าซุกจงต้องการให้ พระโอรสขึ้นดำรงตำแหน่งรัชทายาท และเลื่อนขั้นสนมจางโซอึย เป็น จางฮีบิน ซึ่งฝ่ายตะวันตกที่สนันสนุนพระมเหสีไม่เห็นด้วยกับกา รตัดสินใจของพระเจ้าซุก จงและคัดค้านอย่างหนัก จากเหตุการณ์นี้ทำให้พระเจ้าซุกจงโกรธมาก นำไปสู่เหตุการณ์การเปลี่ยนขั้วอำนาจ โดยทรงสั่งลงโทษ Song Si-yeol ผู้นำ และขุนนางฝ่ายตะวันตก รวมถึงการปลดพระมเหสีอินฮยอนและครอบครัว และแต่งตั้งสนมจางขึ้นเป็นมเหสี
ค.ศ. 1694 พระเจ้าซุกจงทรงรู้สึกผิดต่อเหตุการณ์ในครั้งนั้น พระองค์ได้คืนตำแหน่งมเหสีให้กับพระมเหสีอินฮยอน ส่วนพระมเหสีให้กลับไปเป็นสนมฮีบินเช่นเดิม
ค.ศ. 1701 พระมเหสีอินฮยอนป่วยและสิ้นพระชนม์โดยไม่ทราบสาเหตุ ขณะอายุ 34 ปี พระศพถูกฝังไว้ที่ Myeongreung ในจังหวัด Gyeonggi
มีเรื่องเล่ากันว่า หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระมเหสีอินฮยอน ในช่วงของการไว้ทุกข์ พระเจ้าซุกจงฝันถึงพระมเหสีอินฮยอนว่า พระนางอยู่ในชุด sobok ทีเ่ปื้อนเลือด พระเจ้าซุกจงจึงตรัสถามถึงสาเหตุการตายของพระนาง แต่พระนางไม่ได้ทรงทูลตอบกลับไป แต่ทรงชึไปยังทิศของตำหนักสนมจาง เมื่อพระเจ้าซุกจงตื่นจากบรรทมจึงทรงเสด็จไปยังตำหนั กสนมจางทันที พระองค์ได้ยินเสียงเพลงและเสียงหัวเราะออกมาจากตำหนั ก เมื่อเข้าไปด้านในพบว่า สนมจางกำลังอยู่กับหมอผี มีแท่นพิธีสำหรับการสาปแช่ง ทั้งรูปภาพและธนู ทำให้สนมจางถูกลงโทษด้วยการดื่มยาพิษ
มีบันทึกเรื่องราวของพระมเหสีอินฮยอนซึ่งเขียนโดย นางในในตำหนักของพระนาง ชื่อว่า Inhyeon Wanghu Jeon ซึ่งถูกเก็บรักษามาถึงปัจจุบันนี้
พระมเหสีอินวอน ( ราชินีองค์ที่สามของพระเจ้าซุกจง)
พระมเหสีอินวอน ตระกูลคิม แห่งคยองจู (Queen Inwon of the Gyeongju Kim clan) พระมเหสีลำดับที่ 3 ในพระเจ้าซุกจง หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระมเหสีอินฮยอน พระเจ้าซุกจงได้ออกกฎห้ามแต่งตั้งพระสนมขึ้นดำรงตำแห น่งพระมเหสี ดังนั้นจึงต้องมีการคัดเลือกบุตรีจากตระกูลขึ้นนางขึ ้นมาดำรงตำแหน่งมเหสี
ค.ศ. 1702 ในปีที่ 30 แห่งรัชสมัยพระเจ้าซุกจง บุตรีคนที่ 2 ของ Kim Joo-shin และ ภรรยาจากสกุล Jo แหล่ง Imcheon ได้รับการคัดเลือกเป็นพระมเหสีองค์ใหม่ พระนามว่า "พระมเหสีอินวอน" ด้วยอายุเพียง 15 ปีเท่านั้น พระนางมีพี่ชาย 2 คน ได้แก่ Kim Huyeon และ Kim Guyeon พี่สาว 1 คนและน้องสาว 1 คน
ค.ศ. 1711 พระนางป่วยเป็นโรคฝีดาษ และหายป่วยในที่สุด
ค.ศ. 1720 พระเจ้าซุกจงสิ้นพระชนม์ องค์ชายลียุน ซึ่งเป็นองค์ชายรัชทายาท ได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระบิดา พระนามว่า "พระเจ้าคยองจง" พระนางจึงได้ดำรงตำแหน่ง Queen Dowager (ในภาษาเกาหลีอ่านว่า daebi)
ค.ศ. 1724 พระเจ้าคยองจงสิ้นพระชนม์ องค์ชายยอนอิง พระโอรสบุญธรรมของพระมเหสีอินวอนขึ้นครองราชย์ พระนามว่า "พระเจ้ายองโจ" พระนางได้ดำรงตำแหน่ง Grand Royal Queen Dowager (ในภาษาเกาหลีอ่านว่า daewangdaebi) (ขออธิบายเกี่ยวกับ Deabi และ Daewangdaebi ด้านล่างนะคะ ว่าต่างกันยังไง)
ถึงแม้ว่าพระนางจะมาจากครอบครัวจากฝ่ายใต้ แต่พระนางก็ให้สนับสนุนองค์ชายยอนอิงมาตลอด แม้กระทั่งความสัมพันธ์ระหว่างสนมยองบิน ตระกูลคิม และสนมซุกบิน ตระกูลชเว ก็ไม่มีเรื่องขัดแย้งกันแต่อย่างใด พระมเหสีอินวอนมีบทบาทอย่างมากในราชสำนักสมัยพระเจ้า ยองโจ และพระเจ้ายองโจก็เคารพพระนางเหมือนมารดาแท้ๆ ของพระองค์ ในระหว่างพระชนม์ชีพพระนางได้เขียนหนังสือไว้หลายเล่ ม
พระนางสิ้นพระชนม์ ขณะอายุ 70 ปี ในปี ค.ศ. 1757 เป็นปีที่ 33 แห่งรัชสมัยพระเจ้ายองโจ พระศพฝังไว้ที่ Myeongreung ในจังหวัด Gyeonggi ใกล้ๆ กับสุสานที่ฝังพระศพของพระเจ้าซุก พระมเหสีอินฮยอน
เพิ่มเติม: Queen Dowager หรือ Daebi คือ ฐานันดรศักดิ์สำหรับพระมเหสีในอดีตพระราชา (บางครั้งอาจจะเป็นแม่หรือแม่เลี้ยงของพระราชาองค์ปั จจุบัน เป็นต้น)
Grand Royal Queen Dowager หรือ Daewangdaebi คือฐานันดรศักดิ์สำหรับพระมเหสีในอดีตพระราชา นับขึ้นไป 3 ขั้น
ภาพ: พระมเหสีอินวอน ตระกูลคิม จากเรื่อง ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์ (Dong yi)
พระสนมจางฮีบิน (รักแรกพบของพระเจ้าซุกจง)
สตรีคนแรกถือว่าเป็นรักแรกพบของพระเจ้าซุกจงเลยก็ว่า ได้ ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้ นั่นก็คือ พระสนมจางฮีบิน (Lady Jang Hui-Bin/Hee-Bin) เป็นธิดาของ Jang Hyeong และภรรยาจากสกุล Yun แห่ง Papyeong มีชื่อเดิมว่า จางอ๊กจอง มีการกล่าวถึงพระนางว่า เป็นสตรีที่สวยที่สุดในโชซอน ณ ขณะนั้น สนมจางเข้าวังมาในฐานะของนางในตำหนักพระนางจางรยอล จากการแนะนำขององค์ชาย Dongpyeong และพระเจ้าซุกจงทรงพบพระนางครั้งแรกเมื่อเสด็จเยี่ยม พระนางจารยอล จึงแต่งให้เป็น จางซังกุง แต่เนื่องจากครอบครัวของจางซังกุงมาจากฝ่ายใต้ ทำให้พระพันปีมยองซองไม่โปรดจางซังกุง ทรงกลัวว่า จางซังกุงจะมีอิทธิพลต่อพระเจ้าซุกจงในด้านการเมือง จึงเป็นสาเหตุให้จางซังกุงถูกขับออกจากวัง จนกระทั่งปี ค.ศ. 1683 พระพันปีมยองซองสิ้นพระชนม์ พระมเหสีอินฮยอนจึงอนุญาตให้จางซังกุงกลับเข้ามาอยู่ ในวังตามเดิม
ค.ศ. 1686 จางซังกุงได้รับการแต่งตั้งเป็นสนมจางซุกวอน
ค.ศ. 1688 สนมจางซุกวอน ได้เลื่อนขั้นเป็น สนมโซอึย และสนมบิน นามว่าสนมจางฮีบิน หลังจากการเกิดของพระโอรสองค์แรก และในเดือนพฤษภาคมของปีเดียวกัน
เหตุการณ์ที่สำคัญในปีเดียวกันนี้คือ พระมเหสีอินฮยอนถูกปลด พระเจ้าซุกจงทรงแต่งตั้งพระนางเป็นพระมเหสี และพระโอรสได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาท
ค.ศ. 1964 พระเจ้าซุกจงคืนตำแหน่งมเหสีให้พระมเหสีอินฮยอน ส่วนพระนางถูกลดตำแหน่งเป็นสนมฮีบินดังเดิม
ค.ศ. 1701 พระมเหสีอินฮยอนสิ้นพระชนม์โดยไม่ทราบสาเหตุ พระเจ้าซุกจงทรงพบว่าสนมจาง หมอผี และพี่ชาย Jang hui-jae กำลังทำพิธีสาปแช่ง มีทั้งตุ๊กตาฟาง ธนู และคันธนู จากเหตุการณ์นี้ทำให้สนมจาง Jang Hui-jae และทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ถูกลงโท ษด้วยการดื่มยาพิษ ในเดือนตุลาคม ขณะนั้นสนมจางฮีบินมีอายุ 42 ปี พระศพของพระนางถูกฝังอยู่ที่ Seooreung ว่ากันว่าหากผู้หญิงโสดคนไหนได้ไปเยือนสุสานของพระนา งจะสมหวังในความรัก
หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ในวันที่ 7 เดือน 10 ปีที่ 27 ในรัชกาลพระเจ้าซุกจง ทรงประกาศกฎห้ามมิให้แต่งตั้งสนมขึ้นเป็นพระมเหสี
เมื่อพระโอรสครองราชย์ นามว่า พระเจ้าคยองจง ทรงสถาปนาพระมารดาเป็น "Lady Oksan, Great Concubine of the Palace Prefectural Great Concubine of the Indong Jang clan"
เพิ่มเติม: มารดาของสนมจางฮีบิน เป็นสตรีจากสกุล Yun แห่ง Papyeong ซึ่งมีพื้นเพเดิมอยู่ที่ Papyeong-myeon เมือง Paju ตระกูล Yun นี้มีสตรีที่ได้รับตำแหน่งเป็นราชินีของโชซอนถึง 2 พระองค์ ได้แก่ ราชินีจองฮี ในพระเจ้าเซโจ และราชินีมุนจอง ในพระเจ้าจุงจง ต้นสกุล Yun แห่ง Papyeong มาจาก Yun Sin-dal ซึ่งเป็นผู้ช่วยพระเจ้าแทโจ ผู้ก่อตั้งราชวงศ์โครยอ
พระสนมชเวซุกบิน (ความประทับใจแต่แรกเห็นของพระเจ้าซุกจง)
สตรีคนต่อมาเป็นความประทับใจแต่แรกเห็นของพระเจ้าซุก จง นั่นก็คือ พระสนมชเวซุกบิน (Lady Choi Suk-bin) เป็นบุตรีของ Choe Hyo-won และภรรยาสกุล Hong แห่ง Namyang เกิดวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ.1670 สมัยพระเจ้าฮโยจง มีพี่ชาย 1 คน คือ Choe Dong-hu และน้องสาว 1 คน พระนางมาจากครอบครัวชนชั้นชอนมิน
ชอนมิน คือ ทาส พวกนี้ไม่ใช่คน ทางราชการจะเข้ามาควบคุมชนชั้นนี้เสมือนเป็นสิ่งของช ิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นสมบัติส่วนบุคคลสามารถซื้อขายกันได้ และทางราชการเองก็มีชอนมินไว้เป็นสมบัติเป็นจำนวนมาก เพื่อใช้งานในราชสำนัก ชอนมินที่ไม่ได้มีเจ้าของก็จะประกอบอาชีพที่สังคมดูถ ูกเช่น คนฆ่าสัตว์ นักแสดงกายกรรม ผู้หญิงก็จะมีสามอาชีพ คือ มูดัง (ร่างทรง) คีแซง (นางโลม) และอึยนยอ (แพทย์หญิง) แต่ควากอขุนนางฝ่ายบู้ก็เปิดโอกาสให้ชอนมินผู้ชายเข้ าไปเป็นทหารเช่นกัน
สนมชเวเข้ามาอยู่ในวังตั้งแต่อายุ 7 ปี แต่เดิมเป็นนางในหาบน้ำในตำหนักพระมเหสีอินฮยอน ในคืนหนึ่งขณะที่กำลังสวดมนต์เพื่อพระมเหสีอินฮยอน พระเจ้าซุกจงซึ่งกำลังจะเสด็จออกนอกวังได้ยินเข้าพอด ีและทรงประทับใจในความ มีน้ำใจที่มีต่อพระมเหสี แต่จากบันทึกของ Yi Mun Jeong (1656-1726) ได้บันทึกไว้ว่า หลังจากที่พระเจ้าซุกจงได้เสด็จกลับจากนอกวัง พระองค์ได้ยินเสียงร้องไห้มาจากห้องเล็กๆ และได้เดินตามเสียงนั้นไป และพบนางในคนหนึ่งกำลังจัดสำรับอาหารสำหรับงานเลี้ยง ซึ่งจัดขึ้นเพื่ออดีตพระมเหสีอินฮยอนที่ถูกปลด เมื่อพระเจ้าซุกจงตรัสถาม นางในคนนั้นตอบกลับมาว่า ฝ่าบาท หม่อมฉันเป็นนางในที่เคยรับใช้พระมเหสีอินฮยอน วันนี้เป็นคล้ายวันประสูติของพระมเหสี หม่อมฉันไม่เคยลืมความเมตตาของพระมเหสี จึงได้จัดสำรับงานเลี้ยงเพื่อระลึกถึงพระมเหสี โปรดลงโทษหม่อมฉันเถิดเพคะ ทำให้พระเจ้าซุกจงประหลาดใจมาก เนื่องจากทุกคนในวังต่างเกรงกลัวพระมเหสีจาง ไม่มีใครกล้าที่จะเอ่ยถึงหรือแม้กระทั่งจัดงานเพื่อร ะลึกถึงพระมเหสีที่ถูก ปลด แต่นางในคนนี้กล้าเสี่ยงเพื่อจัดงานวัดเกิดให้กับพระ มเหสีอินฮยอน ทำให้พระเจ้าซุกจงประทับใจเป็นอย่างมาก
ค.ศ. 1693 พระนางได้รับการแต่งตั้งเป็นสนมซุกวอน หลังจากที่ให้กำเนิดองค์ชายองค์แรก แต่องค์ชายสิ้นพระชนม์
ค.ศ. 1694 สนมซุกวอนได้ให้กำเนิดองค์ชายยอนอิง และได้เลื่อนเป็นสนมซุกอึย
ค.ศ. 1695 เลื่อนขั้นเป็นสนมควีอิน
ค.ศ. 1698 สนมควีอินให้กำเนิดองค์ชายองค์ที่ 3 และองค์ชายสิ้นพระชนม์
ค.ศ.1699 เลื่อนขั้นเป็นสนมบิน นามว่า สนมชเวซุกบิน
ค.ศ. 1701 พระมเหสีอินฮยอนสิ้นพระชนม์ ทำให้มีการคัดเลือกมเหสีองค์ใหม่ และในขณะนั้นมีเพียงสนมชเวซุกบินเท่านั้นที่เป็นสนมเ อก จึงมีความเป็นไปได้ว่า สนมซุกบินอาจจะได้เป็นมเหสี แต่ด้วยชนชั้นของพระนางทำให้ไม่อาจขึ้นเป็นมเหสีได้ และปัญหาอีกอย่างหนึ่งคือ พระนางมีโอรส 1 องค์ คือ องค์ชายยอนอิง ซึ่งอาจจะเป็นปัญหาต่อการขึ้นครองบัลลังก์ของรัชทายา ท โอรสที่เกิดจากสนมจาง นอกจากนี้พระเจ้าซุกจงยังมี สนมคิมควีอิน (ต่อมาคือ สนมคิมยองบิน) และสนมปาร์คซุกอึย (ต่อมาคือ สนมปาร์คมยองบิน) ที่เป็นสตรีที่มาจากตระกูลขุนนาง แต่ปัญหาดังกล่าวก็หมดไปเมื่อพระเจ้าซุกจง ทรงประกาศกฎห้ามมิให้แต่งตั้งสนมขึ้นเป็นพระมเหสี
ค.ศ. 1718 สนมซุกบินสิ้นพระชนม์ที่บ้านพักส่วนตัว ขณะอายุ 49 ปี พระศพถูกฝังอยู่ที่สุสาน Soryeongwon ในจังหวัด Paju องค์ชายยอนอิง ภายหลังได้ครองราชย์เป็นพระเจ้ายองโจ ทรงเป็นโอรสที่มีความกตัญญูต่อพระมารดา โดยทรงทำแผ่นป้ายจารึกเพื่อระลึกถึงพระมารดา ซึ่งป้ายจารึกนี้ทรงเขียนด้วยพระองค์เอง และสถาปนาพระมารดาเป็น "Lady Hwagyeong, Royal Noble Consort Suk of the Choe clan"
สุสานของพระเจ้าซุกจง อยู่กับมเหสีทั้งสาม และ ฮีบิน
สุสาน พระสนมซุกบินชเว
1
http://www.filecondo.com/dl.php?f=Ms306ebaVkF2
2
http://www.filecondo.com/dl.php?f=CF99cbbaVkLH
3
http://www.filecondo.com/dl.php?f=9r6856baVkSf
4
http://www.filecondo.com/dl.php?f=DMb329baVkYU
5
http://www.filecondo.com/dl.php?f=qeab71baVl5z
6
http://www.filecondo.com/dl.php?f=bsc675baVlcs
7
http://www.filecondo.com/dl.php?f=6Bf504baVlj7
8
http://www.filecondo.com/dl.php?f=Bx6cc5baVlpM
9
http://www.filecondo.com/dl.php?f=y01051baVlwF
10
http://www.filecondo.com/dl.php?f=eq7ed4baVlD6
11
http://www.filecondo.com/dl.php?f=s9bb45baVlKr
12
http://www.filecondo.com/dl.php?f=ZK186fbaVlR6
13
http://www.filecondo.com/dl.php?f=9cabd4baVlXE
14
http://www.filecondo.com/dl.php?f=7S02f2baVm4L
15
http://www.filecondo.com/dl.php?f=rEc5febaVmbj
16
http://www.filecondo.com/dl.php?f=s2f844baVmij
17
http://www.filecondo.com/dl.php?f=yA75f1baVmoY
18
http://www.filecondo.com/dl.php?f=bqc1f2baVmvi
19
http://www.filecondo.com/dl.php?f=SI8e3fbaVmCb
20
http://www.filecondo.com/dl.php?f=Hy5924baVmJb
21
http://www.filecondo.com/dl.php?f=Fx5e22baVmQb
22
http://www.filecondo.com/dl.php?f=Wud193baVmWo
23
http://www.filecondo.com/dl.php?f=F3e1a3baVn3J
24
http://www.filecondo.com/dl.php?f=ZR2df8baVna3
25
http://www.filecondo.com/dl.php?f=vlec2fbaVngP
26
http://www.filecondo.com/dl.php?f=80f177baVnnI
27
http://www.filecondo.com/dl.php?f=k5a310baVnuu
28
http://www.filecondo.com/dl.php?f=6Q6343baVnB9
29
http://www.filecondo.com/dl.php?f=Xh226abaVnHV
30
http://www.filecondo.com/dl.php?f=LL4a7bbaVnOO
31
http://www.filecondo.com/dl.php?f=m49e64baVnVA
32
http://www.filecondo.com/dl.php?f=J92a30baVo2m
33
http://www.filecondo.com/dl.php?f=aVf177baVo9f
34
http://www.filecondo.com/dl.php?f=l70f8abaVofU
35
http://www.filecondo.com/dl.php?f=YIdf7abaVomG
36
http://www.filecondo.com/dl.php?f=Dx128abaVotN
37
http://www.filecondo.com/dl.php?f=23ed62baVoAe
38
http://www.filecondo.com/dl.php?f=RRd43dbaVoH7
39
http://www.filecondo.com/dl.php?f=lDcf41baVoO0
40
http://www.filecondo.com/dl.php?f=961401baVoUy
41
http://www.filecondo.com/dl.php?f=qV0a45baVp1r
42
http://www.filecondo.com/dl.php?f=8Rb301baVp8T
43
http://www.filecondo.com/dl.php?f=Xg976bbaVpfd
44
http://www.filecondo.com/dl.php?f=cge3dabaVpmd
45
http://www.filecondo.com/dl.php?f=6x7f0bbaVptd
46
http://www.filecondo.com/dl.php?f=SXc3bebaVpzE
47
http://www.filecondo.com/dl.php?f=hj5c75baVpGx
48
http://www.filecondo.com/dl.php?f=ZNd61abaVpNE
49
http://www.filecondo.com/dl.php?f=4e02d2baVpUc
50
http://www.filecondo.com/dl.php?f=1y0500baVq0w
51
http://www.filecondo.com/dl.php?f=hO1b2ebaVq7i
52
http://www.filecondo.com/dl.php?f=mL2761baVqdC
53
http://www.filecondo.com/dl.php?f=M8973abaVqkC
54
http://www.filecondo.com/dl.php?f=aS49eabaVqrv
55
http://www.filecondo.com/dl.php?f=Nr5adebaVqyh
56
http://www.filecondo.com/dl.php?f=RY863ebaVqFo
57
http://www.filecondo.com/dl.php?f=uu0247baVqM3
58
http://www.filecondo.com/dl.php?f=62506bbaVqSu
59
http://www.filecondo.com/dl.php?f=3kc817baVqZn
60
http://www.filecondo.com/dl.php?f=Yo115ebaVr6n