สมเด็จพระจักรพรรดิกุบไล ข่าน (อังกฤษ: Kublai Khan) หรือ จักรพรรดิซื่อจูหวางตี้ หรือ จักรพรรดิซีโจ๊วฮ่องเต้ (23 กันยายน พ.ศ. 1758-1837 (ค.ศ. 1215-1294)) เป็นข่านหรือจักรพรรดิของมองโกล และยังเป็นจักรพรรดิองค์แรกของราชวงศ์หยวนแห่งประเทศ จีน กุบไลข่านเป็นพระราชนัดดาในจักรพรรดิเจงกีส ข่าน พระองค์ขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิมองโกลเมื่อ พ.ศ. 1803 (ค.ศ. 1260) และสถาปนาราชวงศ์หยวนเมื่อ พ.ศ. 1822 (ค.ศ. 1279) จักรวรรดิมองโกลที่เจงกีสข่านสร้างไว้ขึ้นถึงจุดสูงส ุดในสมัยของกุบไล ข่าน เมื่อกุบไล ข่านสามารถเอาชนะราชวงศ์ซ่งของจีน และยึดครองกรุงปักกิ่ง ปกครองประเทศจีน กุบไลข่านยังตีได้ดินแดนต้าหลี่ (Dali ในมณฑลยูนนานในปัจจุบัน) และเกาหลี นอกจากนี้ยังได้พยายามยึดครองญี่ปุ่น, พม่า, เวียดนาม และอินโดนีเซีย แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ในยุคสมัยของกุบไล ข่าน มีนักเดินทางชาวตะวันตกมากมายเดินทางมาถึงดินแดนจีนข องกุบไล ข่าน นักเดินทางที่มีชื่อเสียงคือ มาร์โคโปโล
มหาจักรพรรดิกุบไลข่าน ยอดขุนพลนักรบสายเลือดมองโกล
ตำนาน กุบไลข่าน จักรพรรดิแห่งมอลโกล ผู้ก่อตั้งราชวงศ์หยวนแห่งประเทศจีน และสร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่อาณาจักรจีน ออกอากาศ 6 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 19:00 - 19:50 น. ทาง True
กุบไลข่าน จักรพรรดิแห่งมอลโกล (ฮูปีเล่ )
ราชวงศ์หยวน ( ค.ศ.1271-1368) นิยายดังของช่วงนี้เป็นเรื่องมังกรหยกภาค 2 (ช่วงหลังที่ก๊วยเซียงโตเป็นสาวแล้วแอบมีใจให้เอี้ยก ้วย (แต่สุดท้ายก็อกหัก น่าสงสาร) และเอี้ยก้วยได้พบกับเซียวเล่งนึ่งอีกครั้ง) รวมถึงเรื่องราวความยิ่งใหญ่ของเจงกิสข่าน จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลก ตลอดจนกุบไลข่านผู้ขยายอาณาเขตของจีนไปได้กว้างไกลที ่สุดในประวัติศาสตร์ ชาติจีน
ปี 1206 เจิงจื่อซื่อฮั่น (เจงกิสข่าน) ก่อตั้งราชวงศ์มงโกลขึ้น แล้วนำกองทัพกวาดพิชิตแถบเอเชียตะวันตกทั้งหมด ขยายอาณาเขตไกลถึงยุโรป
ปี 1234 หันมาร่วมมือกับราชวงศ์ซ่งใต้ โจมตีอาณาจักรจินสิ้นชาติ ต่อมา ปี 1271 ฮูปีเล่ หรือที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในนาม กุ๊บไลข่าน ผู้มีสักเป็นหลานเจงกิสข่าน ได้ก่อตั้งราชวงศ์หยวนขึ้น และเริ่มเปิดศึกรวมแผ่นดินกับราชวงศ์ซ่งใต้
ปี 1279 กองทัพหยวนบุกเข้านครหลวงซ่งใต้สำเร็จ แผ่นดินจึงรวมเป็นหนึ่งภายใต้ชนต่างเผ่าเป็นครั้งแรก
สมเด็จพระ จักรพรรดิกุบไล ข่าน (อังกฤษ: Kublai Khan) หรือ จักรพรรดิซื่อจูหวางตี้ หรือ จักรพรรดิซีโจ๊วฮ่องเต้ (23 กันยายน พ.ศ. 1758-1837 (ค.ศ. 1215-1294)) เป็นข่านหรือจักรพรรดิของมองโกล และยังเป็นจักรพรรดิองค์แรกของราชวงศ์หยวนแห่งประเทศ จีน กุบไลข่านเป็นพระราชนัดดาในจักรพรรดิเจงกีส ข่าน พระองค์ขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิมองโกลเมื่อ พ.ศ. 1803 (ค.ศ. 1260) และสถาปนาราชวงศ์หยวนเมื่อ พ.ศ. 1822 (ค.ศ. 1279) จักรวรรดิมองโกลที่เจงกีสข่านสร้างไว้ขึ้นถึงจุดสูงส ุดในสมัยของกุบไล ข่าน เมื่อกุบไล ข่านสามารถเอาชนะราชวงศ์ซ่งของจีน และยึดครองกรุงปักกิ่ง ปกครองประเทศจีน กุบไลข่านยังตีได้ดินแดนต้าหลี่ (Dali - ในมณฑลยูนนานในปัจจุบัน) และเกาหลี นอกจากนี้ยังได้พยายามยึดครองญี่ปุ่น, พม่า, เวียดนาม และอินโดนีเซีย แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ในยุคสมัยของกุบไล ข่าน มีนักเดินทางชาวตะวันตกมากมายเดินทางมาถึงดินแดนจีนข องกุบไล ข่าน นักเดินทางที่มีชื่อเสียงคือ มาร์โคโปโล
กุบไลข่านโค่นราชวงศ์ซ่งลง แล้วเปิดศักราชชาวมองโกลครองประเทศจีน ตั้งกรุงปักกิ่งเป็นเมืองหลวง (สมัยนั้นชื่อว่า เมืองต้าตู) ทรงตั้งความหวังจะเป็นกษัตริย์ที่ดี ปกครองอย่างสุขุมรอบคอบ เอาใจใส่ประชาชน จึงสามารถชนะใจชาวจีนได้ และเป็นฮ่องเต้มองโกลพระองค์เดียว ที่ชาวจีนยอมรับ (เดิมทีนั้น พวกมองโกลขึ้นชื่อลือชามากในเรื่องความโหดร้าย ทั้งนี้เพราะวิถีชีวิตเดิม ที่อยู่ในทุ่งหญ้า ทะเลทราย แถมยังเร่ร่อนไปเรื่อยๆ) นอกจากนี้ กุบไลข่านยังพยายามขยายดินแดนไปกว้างไกลมาก ถึงกับยกทัพเรือจะไปตีญี่ปุ่น แต่เรือถูกมรสุมเสียก่อนจึงไม่สำเร็จ
บุกเวียตนาม
มองโกลส่งทูตมาอาณาจักรอันนัม(เวียตนามโบราณ)พร้อมสั ่งกษัตริย์เวียตนามให้ เดินทางมาเข้าเฝ้ากษัตริย์เวียตนามกริ้วมากจนสั่งตัด หัวฑูตมองโกลทั้ง หมด!!สงครามจึงเริ่มขึ้น...
ปกติทหารมองโกลอยู่แต่ที่หนาวเย็นตลอดแม้กระทั่งเวลา ควบม้าออกจากเต๊นต้อง เอาเนยมาทาตัวก่อน เพื่อกันผิวแตกแต่เมื่อกองทัพมองโกลบุกเข้าอันนัม โดยต้องเจอกับอากาศร้อนแล้ง และโรคระบาดทำให้ ทหารเจ็บป่วยเป็นอันมากและการซุ่มโจมตีแบบกองโจร และวางกับดักตลอดเวลา ทำให้ทหารมองโกลเสียหายอย่างหนักจนต้องถอนทัพ หลังพยายามอยู่ 2ครั้ง แต่ท้ายสุดกษัตริย์อันนัมเลือกถวาย บรรณาการเพื่อป้องกันไม่ให้ กองทัพมองโกล กรีฑาทัพมาบุกซ้ำ และกุบไลข่านก็พอใจและไม่มีการเดินทัพเข้ารุกรานเวีย ตนามอีก
บุกพม่า
กุบไลข่าน ส่งทูตไปบอกกษัตริย์ของพุกาม(พม่าโบราณ)ชื่อนราธิปัต ให้ยอมสวามิภักดิ์ แต่กษัตริย์พม่าซึ่งเพิ่งปราบปรามชนกลุ่มน้อยในประเท ศสำเร็จได้หลงตัวเองว่า ตัวเองคือกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ด้วยความอวดดี กษัตริย์พุกามจึงสั่ง ตัดหัวทูตมองโกลทั้งหมด
มองโกลต้องส่งแม่ทัพชื่อ ซายิด อัล จัล ผู้ปกครองมณฑลยูนานส่งทัพเข้าปราบกองทัพพม่าใช้ช้างศ ึกเป็นกำลังหลักกว่า 3,000 เชือก ซึ่งถ้าเทียบแล้ว กองทัพมองโกลเสียเปรียบ3:1 ตอนแรกม้าของมองโกลหวาดกลัวช้างของพม่าพวกมองโกลจึงล งจากม้าแล้วล่อช้างของ พม่าให้แตกกระจายแล้วระดมยิงด้วยธนูเมื่อควาญช้างเสี ยชีวิต ช้างจึงคลุ้มคลั่งไร้ทิศทาง พวกมองโกลจึงชนะโดยง่าย พวกมองโกลบุกต่อไปถึงแม่น้ำอิรวดี แล้วประกาศให้พม่าเป็นมณฑลหนึ่งของจักรวรรดิมองโกล ส่วนกษัตริย์พุกาม ได้หนีไปซ่อนตัวแล้วถูกน้องชายตัวเองวางยาพิษภายหลัง ..
บุกอินโดนีเซีย
กุบไลข่านส่งทูตไปบอกกษัตริย์ศรีวิชัยให้ยอมสวามิภัก ดิ์แต่ทูตมองโกลกลับถูก เหล็กร้อนประทับหน้าจนเสียโฉมแล้วไล่กลับมองโกลจึงส่ งทับเรือพร้อมทหาร 20,000 นายเข้าปราบ ตอนนั้นจักรวรรดิศรีวิชัยอยู่ในภาวะสงครามกลางเมืองเ จ้าชายวิชัยหลอกใช้มอง โกลให้ต่อสู้กับกบฏแลกกับการยอมสวามิภักดิ์ แต่ท้ายสุดเมื่อสงครามกลางเมืองจบ ทหารมองโกลถูกลอบเผาเรือทั้งหมดและถูกโจมตีกลางวงล้อ มในเกาะที่ห่างไกลจน พินาศทั้งกองทัพ เมื่อกองทัพพ่ายกลับมากุบไลข่านสวรรคตพอดี จึงไม่มีการส่งทัพไปยุ่งกับ อาณาจักรศรีวิชัยอีกเลย
บุกญี่ปุ่น
หลังพิชิตเกาหลีได้มีความพยายามบุกญี่ปุ่น 2ครั้งโดย มองโกลใช้คนคุมเรือและกะลาสีเป็นคนเกาหลีในการบุกครั ้งแรก ทหารมองโกลสามารถ ยึดเกาะ โคโมตะ กับเกาะไอคิได้ โดยกองทัพพันธมิตรโชกุนที่หยุดการห่ำหั่นกันเองเพื่อ มาปกป้องแผ่นดินญี่ปุ่น ต่างตกตะลึงกับรูปแบบที่สุดพิสดารของทัพม้ามองโกล จนทหารมองโกลสามารถยึดหัวหาดแผ่นดินใหญ่ได้ที่ หาด ฮากาตะ กองทัพซามูไรที่มาตั้งขบวนรอต่างถูกทำลายแตกพ่ายในเว ลาสั้นๆ แต่แล้ว... อยู่ๆเมฆฝนตั้งตั้งเค้า กะลาสีเกาหลีบอกว่าต้องรีบนำเรือ ออกทะเลไม่งั้นเรือจะถูกซัดแตกในอ่าวนี้ทั้งหมดแม้จะ ไม่เต็มใจแต่ทหารมองโกล จำต้องถอย ท่ามกลางฝนที่ตกหนัก พวกซามูไรจึงนำกำลังที่เหลือตีท้ายขบวนทหารมองโกลอย่ างเมามัน แล้วพายุไต้ฝุ่นก็มาถึงเรือหลายลำได้อับปางในอ่าวเกื อบหมดจนทหารมองโกลจำ ต้องถอยกลับเพราะกำลังรบเหลือน้อย
สยาม
ในสมัยโอโตไกอาณาจักรน่านเจ้า(ไทยโบราณ)ถูกมองโกลบุก จนหายไปจากแผนที่โลก คนไทยจำต้องหนีลงใต้และยึดอาณาจักรเขมรไว้ได้
กุบไลข่านสนพระทัยทางอักษรศาสตร์และวรรณกรรมมาก จึงส่งเสริมบทประพันธ์ต่างๆ ปรากฏว่า บทงิ้วในสมัยกุบไลข่านดีมาก จนไม่มีบทงิ้วสมัยใดเทียบได้ การติดต่อกับต่างประเทศ ก็เป็นไปด้วยดี มาร์โคโปโลและ สมณทูตจากวาติกัน ก็ได้มาเยือนแดนจีนในยุคของกุบไลข่านนี่เอง
ในช่วงบั้นปลายของ กุบไลข่านเนื่องจากมองโกลมองพวกคนจีนเป็นแค่คนชั้นต่ ำ แต่ กุบไลข่านกลับรับวัฒนธรรมจีนทุกอย่างเต็มที่ และยอมเปลี่ยนวิถีชีวิตดั้งเดิมที่อยู่บนท้องทุ่งย้า ยเข้ามาอยู่เมืองคือ ปักกิ่ง พยายามเอาลัทธิขงจื้อมาใช้ทำให้ชาวมองโกลต่อต้านอย่า งหนักในบั้นปลายกุบไข ข่านต้องรบกับกบฏมองโกลด้วยกันเองไม่หยุดหย่อน เมื่อสิ้นสมัยกุบไขข่าน จักรวรรดิมองโกลจึงค่อยๆแตกสลายไปในที่สุด
พอสิ้นยุคกุบไลข่าน ก็ไม่มีฮ่องเต้มองโกลองค์ใดเด่นเหมือนพระองค์ จึงมีการพยายามโค่นล้มราชวงศ์หยวนอยู่ตลอดเวลา ฮ่องเต้องค์ต่อๆ มาของราชวงศ์หยวน ส่วนใหญ่ครองราชย์ไม่นานนัก และได้ขึ้นครองราชย์ ด้วยการแย่งชิงอำนาจกัน เนื่องจากมองโกลไม่มีกฎแน่นอน เกี่ยวกับการสืบราชบัลลังก์ จวบจนฮ่องเต้องค์สุดท้าย หยวนซุ่นตี้ ซึ่งครองราชย์นานกว่าองค์ก่อนๆ ในยุคนี้ มีความวุ่นวายมาก เกิดภัยพิบัติขึ้นหลายที่ เชื้อพระวงศ์กับขุนนาง ก็ร่วมกันข่มเหงชาวบ้าน จึงมีกบฏเกิดขึ้นทั่วไป
(รูป จูหยวนจาง ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์หมิง ผู้ปลดปล่อยจีนจากการปกครองของมองโกล แต่ราชวงศ์หมิงกลับปกครองจีนได้โหดเหี้ยมยิ่งกว่ามอง โกลซะอีก)
ครั้งนั้น มีชายผู้หนึ่งชื่อ จูหยวนจาง ตอนอายุได้ ๑๗ ปี ครอบครัว ก็ตายหมดจากโรคระบาด จึงไปบวชที่วัดหวงเจี๋ย ต่อมา เร่ร่อนไปอีก ๓ ปี เนื่องจากเสบียงอาหารหมด จึงกลับมาที่วัดดังเดิม ครั้นชาวบ้านก่อกบฏขึ้น เขาก็เดินทางไปสมทบกับพวกกบฏ เริ่มนำทัพออกตีก๊กต่างๆ ในแผ่นดิน แล้วในที่สุดก็ได้ส่งแม่ทัพชื่อ สีต๋า ไปตีเมืองปักกิ่งได้สำเร็จ เป็นการโค่นล้มราชวงศ์หยวนลงได้ จากนั้น เขาก็ได้ตั้งราชวงศ์หมิงขึ้น ใช้เมืองนานกิงเป็นเมืองหลวง
โดยจีนประกาศเอกราชจากมองโกลหลังถูกยึดทั้งประเทศมา9 0 ปีกองทัพราชวงศ์หมิงล้างแค้นด้วยการบุกไปเผาเมืองคาร าคอรัม ทำให้เมืองหลวงจักรวรรดิที่ยิ่งใหญที่สุดในโลกหายไปน ับจากบัดนั้น
ราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1368-1644)
นิยายดังในช่วงนี้ เป็นเรื่องมังกรหยกภาค 3 ซึ่งเป็นเรื่องราวช่วงปลายราชวงศ์หยวนจนถึงก่อนการสถ าปนาราชวงศ์หมิงเล็ก น้อย มังกรหยกภาค 3 เป็นเรื่องหลังจาก 2 ภาคแรกประมาณร้อยกว่าปี กระบี่อิงฟ้า ดาบฆ่ามังกรนั้นแท้จริงแล้ว ก๊วยเจ๋งกับอึ้งยังจัดสร้างขึ้น เพื่อซ่อนตำราพิชัยสงครามไว้ให้อนุชนรุ่นหลังไว้ใช้ก ู้ชาติกู้แผ่นดิน ส่วนสำนักง๊อไบ๊ที่มีบทบาทมากในภาคนี้ เป็นก๊วยเซียง ภูติบูรพาน้อยเป็นผู้ก่อตั้งขึ้น (เธอออกบวช หลังจากผิดหวังจากความรัก) ในเรื่องมีการกล่าวถึงจูหยวนจาง (หมิงไท่จู่ฮ่องเต้) ด้วย โดยจูหยวนจางในมังกรหยกภาค 3 ยังเป็นเพียงหัวหน้าเล็กๆ ในพรรคของเตียบ่อกี้ เท่านั้นเอง (เป็นผู้วางอุบายในตอนจบของเรื่อง จนเตียบ่อกี้ต้องลาออกจากการเป็นผู้นำพรรคไปในที่สุด )
หมิงไท่จู่ (จูหยวนจาง) ก่อตั้งนครหนานจิง(นานกิง) เป็นเมืองหลวง และได้ปฏิรูประบอบการเมือง การทหาร และทุกๆด้านเป็นแบบครบวงจร(อันนี้ไม่ค่อยเข้าใจ) อีกทั้งรวมอำนาจการเมือง การทหาร และตุลาการ เข้ามาอยู่ในมือทั้งสิ้น(อันนี้ก็ไม่เข้าใจ ก็อำนาจฮ่องเต้นี่เบ็ดเสร็จตั้งแต่ราชวงศ์ซ่งแล้วนี่ ) ระบบรวมอำนาจสู่ศูนย์กลางได้รับการพัฒนาถึงขีดสุด
ในช่วงต้นราชวงศ์นั้น หมิงไท่จู่ใช้นโยบายสงเคราะห์ประชาชน เนื่องจากได้ผ่านไฟสงครามมานานแล้ว เศรษฐกิจของประเทศได้รับการฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว และเจริญกว่าสมัยก่อนๆทุกสมัย ดังนั้นเมื่อรวมกับผลงานกู้ชาติฮั่นจากชนต่างเผ่า หมิงไท่จู่จึงได้รับการสดุดีให้สูงส่งเสมอ ฮั่นกวงอู่ตี้(เล่าสิ้วผู้กู้ราชวงศ์ฮั่น) และถังไท่จง(หลี่ซื่อหมิงผู้ปรีชา)
เมื่อหมิงไท่จู่สิ้น บุตรชาย จูหยวนเหวิน สืบทอดเป็น หมิงฮุ่ยตี้ ดำเนินนโยบายลดทอนอำนาจของบรรดาอ๋องต่างๆ อย่างเข้มงวด อ๋อง 5 องค์ถูกย้ายออกจากเมืองที่ประทับ บางองค์ถูกปลด บางองค์ต้องฆ่าตัวตาย เยี่ยนอ๋อง จูตี้(อนุชา จูหยวนจาง) เองก็ถูกเพ่งเล็งเนื่องจากเป็นผู้ที่มีบทบาทมากในการ ศึกในคราวก่อนๆ (หลานขึ้นต้องระแวงอาที่มีกำลังทหาร เป็นธรรมดา)
อนึ่งก่อนที่หมิงไท่จู่จะสิ้นได้สั่งห้ามอ๋องทั้งหลา ย เข้ามาถวายบังคมพระศพเพราะเกรงจะก่อรัฐประหาร แต่เยี่ยนอ๋องไม่ยอม นำทหารเดินทางมาหนานจิง แต่มีราชโองการของจักรพรรดิองค์ใหม่(หมิงฮุ่นตี้) ส่งมาห้าม เยี่ยนอ๋องจึงจำเป็นต้องกลับไปที่เป่ยผิง(ปักกิ่ง)
หลังจากสะสมอาวุธและฝึกซ้อมทหารชำนาญแล้ว จึงตัดสินใจชิงลงมือยกทัพจากเป่ยผิงลงใต้เผชิญหน้ากั บหลานชาย(ฮ่องเต้) โดยอ้างว่าเพื่อกำจัดเหล่าขุนนางกังฉินสอพลอที่อยู่ร อบข้างองค์จักรพรรดิ
การต่อสู้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 1399 นานถึง 3 ปี ในระยะแรกเยี่ยนอ๋องเป็นฝ่ายเสียเปรียบเนื่องจากฝ่าย หมิงฮุ่ยตี้มีกองทหาร ปืนไฟ ซึ่งมีอานุภาพอย่างมากในสมัยนั้น (นับๆดูนี่ จีนมีปืนไฟพร้อมๆฝรั่งเลยนะเนี่ย) ทำให้ต้องถอยทัพกลับไปทางเหนือ แต่ทหารของฮ่องเต้ซึ่งเป็นคนทางใต้ซึ่งส่งขึ้นไปไล่ต ีกองทัพเยี่ยนอ๋องนั้น ไม่คุ้นเคยกับอากาศหนาวทางภาคเหนือ จึงล้มป่วยเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก และยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้สูญเสียแม่ทัพคนสำคัญไปมาก มาย
ค.ศ. 1402 จากความผิดพลาดของทัพหลวงในการไล่ตีเยี่ยนอ๋องในครั้ งก่อน กองทัพของเยี่ยนอ๋องจึงยกลงมาอีกครั้ง และได้ชัยชนะโดยตลอด จนประชิดชานกรุงหนานจิง(นานกิง) สุดท้ายทัพหลวงไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไป เหล่าขุนนางต่างพากันมาสวามิภักดิ์เยี่ยนอ๋อง
ในที่สุดกองทัพเยี่ยนอ๋องสามารถเข้าเมืองได้ แต่ทว่าหมิงฮุ่ยตี้ได้วางเพลิงวังหลวงแล้วหนี (แต่ฮองเฮากับโอรส ถูกไฟครอกตาย...กรรม...ยิ่งกว่านั้นมีข่าวลือว่าหมิง ฮุ่ยตี้หนีไปบวช โดยต่อมาอีก 39 ปี ในรัชสมัยหมิงอิงจง มีผู้พบพระภิกษุชรารูปหนึ่งที่มีคนจำได้ว่าคือหมิงฮุ ่ยตี้ หมิงอิงจงจึงให้เชิญมาประทับที่กรุงเป่ยจิง หรือปักกิ่ง เมืองหลวงใหม่ ตลอดจนสิ้น)
หลังจากเสร็จศึกชิงบัลลังค์ เยี่ยนอ๋อง สถาปนาตนเป็น หมิงเฉิงจง(เฉิงจู่)หลังจากนั้นได้เริ่มประหารขุนนาง ที่ระแวงว่ายังจงรักภักดีต่อพระนัดดา(อดีตฮ่องเต้) ถึง 870 คน นอกจากนี้ยังดำเนินนโยบายลดทอนอำนาจอ๋องอื่นๆ อย่างเข้มงวด เช่น ห้ามมีกองทหารประจำเมืองให้มีได้แต่ทหารองครักษ์จำนว นหนึ่ง ห้ามอ๋องแต่ละเมืองติดต่อกันเองโดยไม่ได้รับอนุญาต
ความต้องการแรกของหมิงเฉิงจง คือดำริย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เป่ยผิง(ปักกิ่ง) อันเป็นฐานที่มั่นเดิมของตนสมัยเป็นอ๋อง เนื่องจากต้องป้องการรุกรานของชนเผ่าทางเหนือ
ค.ศ. 1404 ให้อพยพราษฎรหลายแสนคนจาก เมืองหนานจิง มณฑลซานซี และมณฑลเจ้อเจียง แบ่งเป็น 5 สายเข้ามายังปักกิ่ง เพื่อหาแรงงานสร้างพระราชวังในเมืองหลวงแห่งใหม่ ซึ่งต่อมาก็คือ พระราชวังต้องห้ามในปัจจุบันนี้ การก่อสร้างพระราชวังต้องห้ามนี้กินระยะเวลานานถึง 15 ปี หมิงเฉิงจงให้ความสำคัญกับการก่อสร้างพระราชวังแห่งน ี้เป็นอย่างมาก โดยในปี ค.ศ. 1406 ได้มาตรวจตราการก่อสร้างด้วยตนเอง
ในปี ค.ศ. 1413 พระองค์จึงทรงย้ายจากหนานจิงมาประทับที่เป่ยจิง เป็นการถาวร แต่ไม่กี่เดือนหลังสร้างเสร็จก็มีฟ้าผ่าลงมาและเกิดเ พลิงไหม้อาคารต่างๆ หลายหลัง ซ้ำยังเกิดแผ่นดินไหว ในปี ค.ศ. 1416 จนต้องซ่อมแซมกว่าจะสำเร็จก็นานถึง 4 ปี แต่หมิงเฉิงจงกลับมีโอกาสได้อยู่ในพระราชวังนี้ไม่เก ิน 4 ปี เพราะต้องนำทัพออกไปรบกับพวกมงโกลที่หลงเหลืออยู่ อีกถึง 5 ครั้ง คือ ในปี ค.ศ. 1410, 1422 1423 และ 1424
ในปี ค.ศ. 1403 มีคำสั่งให้บัณฑิตกว่าสองพันคน พร้อมด้วยผู้อำนวยการใหญ่ 5 คน รองผู้อำนวยการอีก 20 คน จัดทำสารานุกรมรวบรวมความรู้ทางวิชาการสาขาต่างๆ ทั้งหมด ใช้เวลาจัดทำ 4 ปี เป็นหนังสือกว่า22,937 บรรพ มหาสารานุกรมชุดนี้มีต้นฉบับ 1 ชุดและสำเนาอีก 2 ชุดเก็บรักษาไว้แต่หายสาบสูญไปจนปัจจุบันเหลือเพียง 370 บรรพ(ไม่รู้1บรรพเท่ากับเท่าไหร่ ผู้รู้บอกด้วย)
ผลงานที่สำคัญอีกอย่างคือให้จัดสร้างกองเรือ เป่าฉวน ที่มีความยิ่งใหญ่ที่สุดในขณะนั้นมีทั้งสิ้น 62 ลำ ลำที่ยาวที่สุดวัดได้ 140 เมตร กว้าง 60 เมตร แต่ละลำประกอบด้วย ทหาร นายแพทย์ ล่าม นายกองเรือคือ เจิ้งเหอ มหาขันที(กงกง)คนสนิทของตนที่เดินทางออกทะเลล่องไปทั ่วโลก 7 ครั้งในรอบ 28 ปี (เป็นกระเทยที่ปรีชาที่สุดในยุคโบราณของจีน) ไปไกลถึง อินเดีย และอัฟฟริกา (เมื่อเร็วๆนี้เริ่มมีกระแสในหมู่นักประวัติศาสตร์ขอ งทั้งจีน และตะวันตกว่า เจิ้งเหออาจเป็นผู้ค้นพบอเมริกาก่อนโคลัมบัสเกือบร้อ ยปี) นำสินค้าไปแลกเปลี่ยนกับชาติต่างๆ รวมทั้งเข้ามาถึงกรุงศรีอยุธยา (ตรงกับรัชกาลของสมเด็จพระอินทราชาที่1 หรือเจ้านครอินทร์ แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ) และนำของหายากกลับมา
เจิ้งเหอนำกองทัพเรือจีนออกทะเลครั้งแรกเมื่อค.ศ. 1405 โดยออกเดินทางจากท่าเรือหลิวเจียก่าง มณฑลซูโจว หมิงเฉิงจู่สวรรคตขณะยกทัพกลับจากไปรบพวกมงโกลเมื่อ ค.ศ. 1424 พระศพถูกเชิญไปบรรจุที่สุสาน ฉานหลิง
หมิงเหยินจง จูเกาจื้อ โอรสหมิงเฉิงจู่ ขึ้นครองราชย์ต่อมา ด้วยความเลื่อมใสในลัทธิขงจื้อ(ลัทธิเต๋า)อย่างมาก ทำให้เห็นว่ากองเรือมหาสมบัติของบิดานี้เป็นเรื่องผิ ดศีลธรรม เป็นการเบียดเบียนชาติอื่น จึงให้ยกเลิกกองเรือของเจิ้งเหอเสีย(ขออธิบายนิดนึง กองเรือที่ว่านี้ก็คือแบบเดียวกับนโยบายล่าอาณานิคมท ี่ชาติตะวันตกมาเริ่มใน ยุคหลังจากนี้อีกนาน กล่าวคือใช้การค้านำหน้าหาสิ่งวิเศษที่ตนขาด หากชาติใดไม่ยอมก็ใช้เล่ห์เหลี่ยม และกำลังรบเข้าบดขยี้....ลองคิดดูเล่นๆว่าถ้าไม่ยกเล ิก และได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จีนจะเกรียงไกรแค่ไหน และไม่ทราบว่าภาษาสากลที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้จะใช ่ภาษาอังกฤษหรือเปล่า?! เพราะเท่าที่อ่านดูในสมัยนั้นกองเรือของเจิ้งเหอเป็น ที่ครั่นคร้ามไป ทั้ง7คาบสมุทร) และดำริที่จะย้ายเมืองหลวงกลับหนานจิง แต่เนื่องจากครองราชย์เพียงสิบเดือนก็สวรรคตไปก่อน แผนการต่างๆ จึงยุติไปโดยปริยาย พระศพถูกเชิญไปบรรจุที่สุสาน เสียนหลิง
จูจิเจิ้น ครองราชย์เมื่ออายุได้ 8 ขวบ ทรงพระนามว่าหมิงอิงจง เนื่องจากยังเยาราชการต่างๆ จึงตกอยู่ในมือของหวางเจิน ขันทีที่เป็นพระพี่เลี้ยง(เวรอุตส่าห์ชมเมื่อกี้ ขันทีออกลายอีกแล้ว) นับวันอำนาจบารมีของหวางเจินก็เพิ่มพูนมากขึ้น มีขุนนางจำนวนไม่น้อยที่ต่อต้านหวางเจินก็ถูกจับกุม และกำจัดไป แม้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ยังต้องเรียกหวางเจินด้วยความนอ บน้อมว่า วังฝู่ แปลว่า พ่อใหญ่(จึ๋ย...) เมื่อครองราชย์มาได้ 13 ปี
ใน ค.ศ. 1449 เหย่เซียนซึ่งเป็นข่านของเผ่าออยเร็ต ( มงโกลเผ่าหนึ่ง ) มีความเข้มแข็งขึ้น วันที่ 1 เดือน 7 ได้ยกทัพมาตีเมืองต้าถ่ง กองทัพหมิงไม่อาจต้านทานได้ต้องเสียแม่ทัพนายกองไปหล ายคน ข่าวศึกมาถึงปักกิ่งขุนนางเกิดความหวาดวิตกมาก หวางเจินซึ่งไม่มีประสบการณ์ในการทำศึกแต่อยากจะมีชื ่อเสียงให้ปรากฏก็ยุยง ให้หมิงอิงจงนำทัพยกไปรบกับเหย่เซียนด้วยพระองค์เอง ดังนั้นในวันที่ 16 เดือน 7 กองทัพหมิงที่มีพลกว่าหนึ่งแสนคนยกออกไปจากเมืองหลวง แต่ต้องเผชิญกับพายุฝน อยู่ที่ซวนฝู่ทหารล้มป่วยเป็นจำนวนมาก วันที่ 1 เดือน 8 กองทัพหมิงเดินทางไปถึงต้าถง แต่เมื่อทราบสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีนัก หวางเจินไม่มีทางเลือกจึงให้ยกทัพกลับทันที(แล้วจะยก ไปทามมาย)
วันที่ 3 เดือน 8 เมื่อถอนทัพมาถึงที่เมืองไหวไหล ขุนนางต่างมีความคิดสองแนวคือเข้าไปตั้งรับกองทัพมงโ กลภายในเมืองกับรีบยก ทัพกลับปักกิ่งไปให้เร็วที่สุด แต่หวางเจินเห็นว่าขบวนสัมภาระส่วนตัวยังมาไม่ถึงจึง ให้ตั้งค่ายอยู่ที่นอก เมือง กองทัพมงโกลตามมาทันก็ตั้งค่ายล้อมอย่างแน่นหนาทำให้ ทหารขาดเสบียงและน้ำ ดื่ม
วันที่ 15 เดือน 8 เหย่เซียนแกล้งแต่งคนมาเจรจาขอหย่าศึก หมิงอิงจงหลงเชื่อขณะที่กำลังถอนทัพ ทหารมงโกลก็บุกโจมตีทั้งสี่ทิศจนกองทัพหมิงพินาศ หวางเจินและแม่ทัพหลายคนตายในที่รบ อิงจงถูกจับไปเป็นตัวเชลย หยูเซียนรองเจ้ากรมกลาโหมเรียกระดมกองทัพหัวเมืองใกล ้ๆ กรุงปักกิ่งเข้ามาต้านทานกองทัพมงโกลอย่างเข้มแข็งจน ต้องถอยกลับออกไป
จากศึกติดพันกับมงโกลซึ่งทำให้จักพรรดิหมิงอิงจง ถูกจับเป็น ฮองไทเฮา(มารดา)จึงแต่งตั้งเฉิงอ๋อง(จูจู อนุชาหมิงอิงจง) เป็นผู้สำเร็จราชการ ค.ศ. 1450 จึงได้ยกขึ้นเป็นฮ่องเต้พระนามหมิงไท่จงรัชศกจิ่งไท่
เดือน10 ปีเดียวกัน กองทัพมงโกลยกมาถึงชานกรุงปักกิ่ง หยูเซียนเสนอให้ตั้งค่ายนอกเมืองรายไปตามประตูเมือง เหย่เซียน(แม่ทัพมงโกล) ทำอุบายว่าจะส่งตัวหมิงอิงจงกลับ ขอให้ขุนนางผู้ใหญ่ออกมารับแต่หมิงไท่จง รู้ทันให้ขุนนางชั้นผู้น้อยสองคนมาแทน
ต่อมา กองทัพมงโกลบุกตีค่ายต่างๆ แต่ถูกทหารหมิงต่อต้านจนพ่ายแพ้ไปหลายครั้งทำให้ทหาร เสียกำลังใจ และเริ่มขาดเสบียง กอปรกับเห็นว่าราชวงศ์หมิงมีฮ่องเต้องค์ใหม่แล้วก็ไม ่สามารถใช้หมิงอิงจง เป็นเครื่องต่อรองได้ จึงทำให้ต้องถอนทัพกลับไปเมื่อวันที่ 15 เดือน 10 (รบกันแป็ปเดียว)
หมิงอิงจงถูกปล่อยให้เป็นอิสระ หมิงไท่จงจึงสถาปนาให้เป็น ไท่ซ่างอ๋อง ( พระเจ้าหลวง..ไม่คืนตำแหน่งให้ ) และคุมตัวไว้ภายในวัง
ค.ศ. 1456 หมิงไท่จงสิ้น(น้องอายุสั้นกว่าพี่) ขันทีเฉาจื้อเสียนรวบรวมพลพรรคก่อรัฐประหาร เชิญหมิงอิงจงกลับมาครองราชย์อีกครั้ง (ว้าว...ขันทีกู้บัลลังค์)ครองราษฎร์นาน 8 ปี จึงสิ้น
ในรัชสมัยหมิงซือจง เกิดการฉ้อราษฎร์บังหลวงทั่วแผ่นดิน โดยเหล่าขุนนางท้องถิ่นยึดที่ดินชาวบ้าน ราชสำนักเพิ่มการเก็บภาษีเบ็ดเตล็ด แม้แต่ในกองทัพเองยังมีการยักยอกเสบียง และเบี้ยหวัด ความไม่พอใจของทหาร และประชาชนต่อราชวงศ์หมิงก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งเกิดภัยแล้งครั้งใหญ่ ทำให้ฟางเส้นสุดท้ายขาดลง เหล่าราษฎรและทหารรวมตัวกันเป็นกลุ่มย่อยก่อจลาจลในห ลายพื้นที่ กินเวลาหลายปี
เดือนเมษายน ค.ศ.1644 ในที่สุดก็เกิดการรวมตัวกันก่อจลาจลครั้งใหญ่ ซึ่งนำโดย หลี่จื้อเฉิง เหล่าทหารหลวงเองก็ไม่เป็นใจรบ จึงทำให้กองกำลังหลี่จื้อเฉิงเข้ายึดครองกรุงปักกิ่ง ได้อย่างง่ายดาย จนทำให้ หมิงซือจง ต้องผูกพระศอสิ้นลงที่ต้นไม้บนเนินเขาที่มองเห็นพระร าชวังต้องห้ามได้ชัด ถือเป็นจุดอวสานของราชวงศ์หมิง
ต่อจาก ราชวงศ์หมิงคีอ
ราชวงศ์ชิง (ค.ศ.1644-1911) (ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีการหยิบมาทำนิยาย / ภาพยนตร์มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหวงเฟยหง สงครามฝิ่น ซูสีไทเฮา The last Emperor รวมถึงภาพยนตร์ทุกเรื่องที่ตัวละครไว้ผมเปียทั้งหมด )
1
http://www.filecondo.com/dl.php?f=uI30f8aW461N
2
http://www.filecondo.com/dl.php?f=rV13c6aW468z
3
http://www.filecondo.com/dl.php?f=US994baW46Gr
4
http://www.filecondo.com/dl.php?f=xT2aa8aW43Jx
5
http://www.filecondo.com/dl.php?f=xE2465aW41y3
6
http://www.filecondo.com/dl.php?f=R110b9aW47Mb
7
http://www.filecondo.com/dl.php?f=Un309baW42Rz
8
http://www.filecondo.com/dl.php?f=Km0b82aW42DU
9
http://www.filecondo.com/dl.php?f=dab378aW4269
10
http://www.filecondo.com/dl.php?f=IFc4e6aW43w6
11
http://www.filecondo.com/dl.php?f=Oaec4baW43pd
12
http://www.filecondo.com/dl.php?f=IJ8942aW47s5
13
http://www.filecondo.com/dl.php?f=Bdbdd0aW43Xj
14
http://www.filecondo.com/dl.php?f=Bia1a7aW434T
15
http://www.filecondo.com/dl.php?f=nhc294aW44hw
16
http://www.filecondo.com/dl.php?f=yQ4f74aW46fl
17
http://www.filecondo.com/dl.php?f=pa7328aW46sT
18
http://www.filecondo.com/dl.php?f=zq15dbaW47SX
19
http://www.filecondo.com/dl.php?f=Lq8b2caW43ir
20
http://www.filecondo.com/dl.php?f=gr15c3aW48do
21
http://www.filecondo.com/dl.php?f=1icc7eaW41LP
22
http://www.filecondo.com/dl.php?f=1ldf02aW41dX
23
http://www.filecondo.com/dl.php?f=LQc940aW47ej
24
http://www.filecondo.com/dl.php?f=ufa9b0aW47ZX
25
http://www.filecondo.com/dl.php?f=UQ2698aW47yD
26
http://www.filecondo.com/dl.php?f=oOe49baW42Yl
27
http://www.filecondo.com/dl.php?f=Pt4151aW41SB
28
http://www.filecondo.com/dl.php?f=pE8eecaW452P
29
http://www.filecondo.com/dl.php?f=edba33aW47lL
30
http://www.filecondo.com/dl.php?f=qt53e9aW42Kz
31
http://www.filecondo.com/dl.php?f=bU142eaW443R
32
http://www.filecondo.com/dl.php?f=ee81c2aW47Fp
33
http://www.filecondo.com/dl.php?f=yg487faW44W3
34
http://www.filecondo.com/dl.php?f=FN7408aW43Qc
35
http://www.filecondo.com/dl.php?f=J93e12aW43bF
36
http://www.filecondo.com/dl.php?f=Fb004baW48k3
37
http://www.filecondo.com/dl.php?f=cm8b3faW41kJ
38
http://www.filecondo.com/dl.php?f=K2d531aW43CL
39
http://www.filecondo.com/dl.php?f=er665caW44aD
40
http://www.filecondo.com/dl.php?f=b32275aW46zF
41
http://www.filecondo.com/dl.php?f=ma1ea3aW42qf
42
http://www.filecondo.com/dl.php?f=4m45e1aW477x
43
http://www.filecondo.com/dl.php?f=kS26b9aW41rh
44
http://www.filecondo.com/dl.php?f=Yjcf5eaW42jt
45
http://www.filecondo.com/dl.php?f=83a085aW486C
46
http://www.filecondo.com/dl.php?f=nd53b0aW410b
47
http://www.filecondo.com/dl.php?f=6W3230aW41EW
48
http://www.filecondo.com/dl.php?f=PX5db0aW42x1
49
http://www.filecondo.com/dl.php?f=Sn1be2aW40Tw
50
http://www.filecondo.com/dl.php?f=Kq8467aW41Z9